เมื่ออาทิตย์ก่อน ไปเที่ยวภาคเหนือ ไปจากกรุงเทพ - นครสวรรค์ - ลำปาง - เชียงใหม่
นั่งรถทัวร์ แบบมีไกด์ไป ไม่ได้เที่ยวแบบมีไกด์นานมากแล้ว ส่วนมากชอบแบกเป้ผจญภัยมากกว่า
บางทีแบกเป้ไป ทำการบ้านไปไม่ดี เที่ยวไม่คุ้ม แถมเสียตังเยอะอีกต่างหาก อย่างตอนไปเที่ยวญี่ปุ่น
เสียตังไปหลาย แต่เที่ยวไม่ค่อยคุ้มเท่าไหร่ ตอนนั้นไปคนเดียวด้วย เปรี้ยวจริงๆ
เข้าเรื่องดีกว่า...
นั่งรถไป ระยะเวลาทั้งหมดจากกรุงเทพ ไปถึงโรงแรมเชียงใหม่ ใช้เวลาประมาณ 12-14 ชั่วโมง
แวะปั้มประมาณ สองชั่วโมงครั้ง ออกจากกรุงเทพราวๆ 17.30 นั่งๆ ไป ราวๆ สองทุ่มครึ่ง
แวะพักกินข้าวต้มที่โรงแรมพิมพิมาน กินเสร็จรู้สึกมวนท้อง
จริงๆ แล้ว โดยส่วนตัวเบื่อการนั่งอะไรนานๆ โคตร เช่นนั่งเครื่องบิน นั่งรถทัวร์ มันรู้สึกอึดอัด ขยับก็ไม่ค่อยจะได้ดั่งใจ
ไปคราวนี้กะไปพักผ่อนเยอะๆ แต่โปรแกรมแม่งกินๆ เที่ยวๆ ทั้งวัน นอนวันละ 5-6 ชั่วโมง แถมวันแรกไม่ได้นอนอีกต่างหาก
คิดว่าได้ไปผ่อนคลายแล้วไออาการที่ป่วยๆ ออดแอดๆ อยู่จะหายดี จริงๆ ป่วยครั้งนี้มีสาเหตุ เอาไว้ค่อยเขียนอีกเรื่อง
เป็นเรื่องที่แปลกแต่จริง ! เล่าไปเรียบร้อยที่ Meeting ครั้งนึงละ
เข้าเรื่องต่อ... ออกทะเลประจำ ฮ่าๆ
นั่งไปปวดท้องไป คิดว่าสักพักคงหาย เอ้ยแม่งไม่หายเฟ้ย บอกไกด์สาวชื่อพี่ชมพู่ ขอพาราเม็ดนึงครับ
เธอพยักหน้ารับรู้ แล้วเดินหันหลังกลับไปที่ชั้นหนึ่งไปหยิบยา สักพักขึ้นมา บอกยาหมดค่ะ นั่งปวดต่อ
จริงๆ กะกินสักเม็ดจะได้หลับๆ เลยหลับตาสักพัก ผู้ ญ สองคนข้างหน้าวัยรุ่น อายุใกล้ๆ กะเรา
หันมา ยื่นพารามาสองเม็ด พร้อมรอยยิ้ม รู้สึกว่าเธอสวยขึ้นมาทันใด
ทำให้นึกถึงหนังสือเล่มนึง ของหนุ่มเมืองจันทน์ ที่อ่านผ่านมานานแล้ว
เล่าว่า...
เป็นเรื่องของเด็กนักเรียนชั้นประถมคนหนึ่งชื่อ “เทรเวอร์ แมคเคนนีย์”
เขาเจอการบ้านมหาโหดของครู นั่นคือ ให้หาแนวคิดที่สามารถเปลี่ยนแปลงโลก และนำไปปฏิบัติได้จริง
Think of an idea to change the world and put it into action
เด็กน้อยเสนอแนวคิดหนึ่งที่น่ามหัศจรรย์
เป็นแนวคิดที่เกิดขึ้นภายใต้ความเชื่อที่ว่า “ความดี” สามารถส่งต่อกันได้
ถ้าเราทำความดีช่วยเหลือใครสักคนหนึ่ง และขอให้เขาช่วยคนอื่นอีก 3 คน
โลกเราจะเปลี่ยนแปลงทันที
คิดดูสิว่าวันนี้เราช่วยคน 3 คน วันต่อมา 3 คนนั้นได้ช่วยคนอื่นอีกคนละ 3 คน ก็เป็น 9 คน
วันต่อมาก็จะเพิ่มเป็น 27 คน เพียงแค่ 2 สัปดาห์จะมีคนที่ได้รับความช่วยเหลือถึง 4,782,969 คน
วันต่อมาลองเอา 3 คูณเข้าไปสิครับ คูณไปเรื่อยๆ
ช่างเป็นตัวเลขที่น่ามหัศจรรย์มาก
และคุณหนุ่มเมืองจันท์ยังเขียนไว้ต่อว่า
ผมเคยสัมผัสถึงพลังจากการ “ได้รับ” มาก่อนที่ลำปาง
และเห็นการส่งต่อ “น้ำใจ” จากคนหนึ่งไปยังอีกคนหนึ่ง
จาก “พี่พจน์” ถึง “ผู้หญิง” คนนนันี้ มันเป็น “เรื่องจริง” ไม่ใช่ “นิยาย”
เชื่อไหมครับว่าความรู้สึกในวันที่ผมได้รับจดหมายจากพี่ผู้หญิงคนนั้นยังอยู่ในความทรงจำของผมตลอดเวลา
เราก็รู้สึกดีกับการ “ได้รับ” มากพอแล้ว
แต่เชื่อไหมครับว่าเมื่อเทียบกับความรู้สึกที่เรา “ได้รับ” จาก “การให้” ของเรา
แม้จะไม่ได้ตั้งใจก็ตาม หรือแม้จะไม่ได้หวังผลตอบแทนก็ตาม
พลังของความรู้สึกที่ได้รับมันอิ่มเอิบ และท่วมท้นใจ
มากกว่าการ “ได้รับ” โดยที่ไม่ได้ “ให้” มากมายหลายเท่าตัวจริงๆครับ
PAY IT FORWARD ส่งต่อ “น้ำใจ” นี้ไปข้างหน้า ส่งต่อไปเรื่อยๆ
และที่คุณหนุ่มเมืองจันท์ ได้พูดถึงเพื่อชวนให้เพื่อนๆ เล่นเกม PAY IT FORWARD กัน
-----------------------------
จริงๆ แอบคิดไปถึงผลตอบแทนทบต้นในรูปของการลงทุนที่เพิ่งอ่านไปด้วย เอิ๊ก
ขอเล่าสักนิด วันก่อนนู้นไปของานวิจัยของ ดร.ไพบูลย์ เสรีวิวัฒนา จาก money channel มา อ่านแล้วน่าทึ่งมาก
การลงทุนโดยใช้วิธี Magic Formula สามารถสร้างผลตอบแทนจากหนึ่งล้าน กลายเป็น เกือบๆ สองพันล้าน ภายใน 15 ปี แต่ตูเพิ่งเอามาลองใช้กับพอร์ต เพิ่งปรับเนี้ย ปรากฎว่าแลดูดีมาก แต่ไม่กล้าเผย ขอดูระยะยาวๆ ก่อนเด้อ
จริงๆ แล้วตูเอาวิธีการมาดัดแปลงอีกขั้นนึง คิดว่าวิธีนี้น่าจะสร้างผลตอบแทนได้ดีกว่า แต่ยังไม่ได้ลองวิจัยข้อมูลเก่าดูนะ ขี้เกียจหงะ
ตัวไหนติดลบอยู่อยากจะเปลี่ยนขายทิ้ง มาถือตัวแบบ Magic Formula จัง แต่ก็นะ รอเด้งดีฟ่าา
แย้มอีกนิด ใครอยากเรียน เดือนมีนาน่าจะว่าง เด๋วจะมาสอนแบบเทความรู้ให้เต็มที่
-----------------------
ออกทะเลอีกละ 555+
สรุปดีกว่า หลังจากกินสองเม็ดนั้นเข้าไปแล้ว ปรากฎว่า...
ยามันกัดกระเพาะอะ หนักกว่าเดิมก่อนกินอีก ฮ่าๆๆ นั่งทรมานไปจนถึงเชียงใหม่นู้นนน
แต่... รู้สึกดีจริงๆ นะ ถึงแม้มันเป็นสิ่งเล็กๆ แต่น้ำใจที่เค้ามอบมันไม่เล็กด้วยนา มันอิ่มเอิบใจหงะ
ตอนจบของหนังสือ หนุ่มเมืองจันท์ ซึ่งเขียนไว้ว่า
"ผมไม่รู้ว่าคุณชอบหนังสือเล่มนี้หรือเปล่า แต่ถ้าชอบ และคิดว่าหนังสือเล่มนี้มีค่าพอสำหรับคนที่เรารัก คนที่กำลังสูญเสียความเชื่อมั่น คนที่รู้สึกท้อแท้ใจ คนที่มีปัญหา คิดว่าหนังสือเล่มนี้มีค่าพอที่จะส่งต่อ ไม่ต้องซื้อเล่มใหม่ให้เพื่อนหลอกครับ แต่ลองส่งต่อหนังสือเล่มนี้ให้กับคนที่ต้องการกำลังใจ หรือความรู้สึกดีๆ"
จากคุณ ส่งต่อให้เพื่อน จากคนที่ 1 สู่คนที่ 2
จากคนที่ 2 สู่คนที่ 3
และจากคนที่ 3 สู่คนที่ 4
และช่วยส่งหนังสือเล่มนี้คืนกลับไปให้ “ผู้ให้” คนแรก
ผมเชื่อว่านี่คือ “ของขวัญ” ที่มีค่ายิ่ง
และอาจเป็นจุดเริ่มต้นของสิ่งดีๆ ที่เกิดขึ้น ณ.จุดเล็กๆ ในโลกนี้
ผมเชื่อว่าวันที่หนังสือเล่มนี้คืนกลับถึงมือเจ้าของตัวจริง
แม้จะเป็น หนังสือเก่า ที่ผ่านมือคน 3-4 คนมาแล้ว
แต่มันจะมีคุณค่าทางใจยิ่งกว่า หนังสือใหม่ เสียอีก
เพราะทุกบรรทัด ทุกหน้า มันมีเรื่องราว
เป็นเรื่องราวของ “การให้” และ “การได้รับ”
ผมแอบเชื่ออยู่ลึกๆ ว่าวงจรแห่งความรู้สึกนี้เมื่อเกิดขึ้นแล้ว จะไม่มีอะไรจะหยุดมันได้
ความรู้สึกดีๆ นี้จะอยู่ในใจ และส่งต่อออกไปไม่มีที่สิ้นสุด
Just pay it forward :)
สุดท้ายนี้ก็...สุขสันต์วันที่เราบังเอิญได้เจอกันผ่านตัวหนังสือครับบ
วันจันทร์ที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2554
วันพุธที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2554
Experience
ประสบการณ์...
คำว่าประสบการณ์ นิยามของกุ หมายถึงความทรงจำที่ผ่านมา แล้วยังคงจำจำได้อย่างยาวนาน เนื่องจากส่วนใหญ่มักมีบทเรียนที่น่าจดจำ หรือเจ็บจำ
ไม่เหมือนกับการเรียน อ่าน ฟัง ทั่วๆไป ไม่นานก็ลืม
ประสบการณ์ส่วนใหญ่ล้วนมาจากการที่ตนเองประสบเอง take action เอง รับเอง เรียนรู้เอง และที่สำคัญ จะจำได้นาน ถือเป็นบทเรียนที่คุ้มค่า
บางประสบการณ์ล้วนน่าจดจำ บางครั้งคิดถึงทีไรก็อดยิ้มไม่ได้ทุกที แต่บางทีเจอคราวเคราะห์ก็ยิ้มไม่ออกเหมือนกัน
แต่อะไรที่มันผ่านเข้ามาแล้วติดอยู่ในความทรงจำ ล้วนสอนอะไรบางอย่างเสมอ
เรื่องบางเรื่องบางทีกคิดว่าตัวเองรู้ดีแล้ว แต่อยู่มาบางวันกลับพบว่าตัวเองไม่รู้อะไรเลยก็มี...
อย่างเรื่องการลงทุน...
บางครั้งก็กำไร บางครั้งก็ขาดทุน แต่เทียบสัดส่วนแล้วกำไรมากกว่าโข
ยกตัวอย่าง อย่างเดือนที่ผ่านมากุขาดทุนจากสัญญา Options ไปก้อนหนึ่ง
กุคิดว่าอย่างมากก็ขาดทุนก็ไม่น่าเกิน 60% จากเงินลงทุน แต่อะไรที่เมิงคิดแค่สองทาง บางทีมันก็เหมือนเล่นตลกมีทางที่สามโผล่มาแบบให้ต๊กกะใจเล่น ( ตอนจบสัญญาค่า Premium ลงไป 99% โดนค่าธรรมเนียมปิดสัญญาอีกราวๆ 1% ครบร้อยพอดี )
จริงๆ แล้วมันเกิดจาก panic sell ของคนในตลาดต่าง dump ราคากันมา จนมันไม่ได้อิง index ที่แท้จริง
รายละเอียดขี้เกียจอธิบายนะ แต่ความรู้สึกเสียดายน้อยมาก รู้สึกว่าเงินที่สูญไปนี่มันคุ้มจริงๆ นะ
ทำให้กุรู้เลยว่าสภาพตลาดบ้านเราไม่เหมาะที่จะเล่น Options เนื่องจากเหตุผลหลายๆ ประการ เป็นความรู้ที่ได้จากการเสียเงินในครั้งนี้
คือจริงๆ กุกะลงเงินก้อนใหญ่กว่านี้อย่างน้อยสักสิบเท่า แล้วถ้าเกิดครั้งนี้มันไม่เกิด panic ดันไปเกิด panic sell ในสัญญาไตรมาสต่อไป
คงจะชีช้ำมิใช่น้อย...
กุเป็นคนที่ชอบเสี่ยง แต่เสี่ยงแบบที่กุรับได้นะ
อย่างตอนทำข้อสอบ เช่นมีสักร้อยข้อ กุมั่นไปใจไป 92 ข้อ
ส่วนอีก 8 ข้อไม่มั่นใจ แล้วใน 8 ข้อนั้น มี 4 ข้อให้จับคู่ ส่วนอีกสี่ข้อเป็นคำถามทั่วๆไป
ข้อที่จับคู่ 4 ข้อ กุจะไม่เลือก ก. ก. สองข้อ แล้วก็ ข. ข. หรือ ค ค ง ง เพื่อที่กุจะได้แค่ 50%
หรืออาจจะเลือก ก ก ก ก เพื่อหวังถูกข้อนึงชัวร์ แน่ๆ
แต่กุจะ take risk เลือก 4 ข้อไม่ซ้ำกันสักข้อเพื่อหวัง 100% ถ้าถูกหมดก็อาจจะได้คะแนนสูงสุด หรือเรียกว่า 'ท๊อประดับ'
และในทางกลับกันหากมันผิดนั่นแปลว่าอาจจะสองข้อ หรืออาจจะผิดหมดเลยก็ได้
แต่กุจะไม่ยอมเริ่มด้วยการผิดครึ่งนึงเป็นแน่แท้
อย่างน้อยถ้ากุผิดหมด กุก็อยู่ในเกณฑ์คะแนนสูงอยู่ดี ผลการตัดสินใจที่ผ่านๆ มา 95% ก็ทำให้กุได้คะแนนท๊อประดับมาตลอด
นิสัยนี้ก็ติดมาเรื่อยๆ แต่ทุกๆ ครั้งที่ผิดพลาดก็มานั่งทบทวนเสมอ แล้วก็ได้เรียนรู้จากครูที่ชื่อว่าประสบการณ์เสมอเช่นกัน
ส่วนมากพอผิดแล้วมันก็จะเห็นข้อที่พลาดทีละจุดๆ เหมือนมันเริ่มเฉลย เลยเริ่มฉลาด
การตัดสินใจจบลงย่อมมีผิดมีถูกบ้าง เป็นธรรมดา (นั่นหมายถึง กำไรกับขาดทุน ในแง่ของการลงทุน)
แต่นั่นไม่สำคัญเท่า "คุณกำไรเท่าไรเมื่อคุณถูก และคุณขาดทุนเท่าไรเมื่อคุณผิด”
***เพราะฉะนั้นชั่วโมงบินในการเรียนรู้สำคัญมากๆ บางเรื่องที่เราไม่เคยเจอ แต่ไม่ได้หมายความว่ามันไม่มี
เคยนั่งคุยกับเพื่อนบางคน มันบอก "เนี่ยตั้งแต่กุเริ่มขับจักรยาน หรือมอไซมากุไม่เคยล้มเลยแม้แต่ครั้งเดียว"
"นั่นแปลว่าเมิงยังขี่มันไม่มากพอ..." กุตอบ
คำว่าประสบการณ์ นิยามของกุ หมายถึงความทรงจำที่ผ่านมา แล้วยังคงจำจำได้อย่างยาวนาน เนื่องจากส่วนใหญ่มักมีบทเรียนที่น่าจดจำ หรือเจ็บจำ
ไม่เหมือนกับการเรียน อ่าน ฟัง ทั่วๆไป ไม่นานก็ลืม
ประสบการณ์ส่วนใหญ่ล้วนมาจากการที่ตนเองประสบเอง take action เอง รับเอง เรียนรู้เอง และที่สำคัญ จะจำได้นาน ถือเป็นบทเรียนที่คุ้มค่า
บางประสบการณ์ล้วนน่าจดจำ บางครั้งคิดถึงทีไรก็อดยิ้มไม่ได้ทุกที แต่บางทีเจอคราวเคราะห์ก็ยิ้มไม่ออกเหมือนกัน
แต่อะไรที่มันผ่านเข้ามาแล้วติดอยู่ในความทรงจำ ล้วนสอนอะไรบางอย่างเสมอ
เรื่องบางเรื่องบางทีกคิดว่าตัวเองรู้ดีแล้ว แต่อยู่มาบางวันกลับพบว่าตัวเองไม่รู้อะไรเลยก็มี...
อย่างเรื่องการลงทุน...
บางครั้งก็กำไร บางครั้งก็ขาดทุน แต่เทียบสัดส่วนแล้วกำไรมากกว่าโข
ยกตัวอย่าง อย่างเดือนที่ผ่านมากุขาดทุนจากสัญญา Options ไปก้อนหนึ่ง
กุคิดว่าอย่างมากก็ขาดทุนก็ไม่น่าเกิน 60% จากเงินลงทุน แต่อะไรที่เมิงคิดแค่สองทาง บางทีมันก็เหมือนเล่นตลกมีทางที่สามโผล่มาแบบให้ต๊กกะใจเล่น ( ตอนจบสัญญาค่า Premium ลงไป 99% โดนค่าธรรมเนียมปิดสัญญาอีกราวๆ 1% ครบร้อยพอดี )
จริงๆ แล้วมันเกิดจาก panic sell ของคนในตลาดต่าง dump ราคากันมา จนมันไม่ได้อิง index ที่แท้จริง
รายละเอียดขี้เกียจอธิบายนะ แต่ความรู้สึกเสียดายน้อยมาก รู้สึกว่าเงินที่สูญไปนี่มันคุ้มจริงๆ นะ
ทำให้กุรู้เลยว่าสภาพตลาดบ้านเราไม่เหมาะที่จะเล่น Options เนื่องจากเหตุผลหลายๆ ประการ เป็นความรู้ที่ได้จากการเสียเงินในครั้งนี้
คือจริงๆ กุกะลงเงินก้อนใหญ่กว่านี้อย่างน้อยสักสิบเท่า แล้วถ้าเกิดครั้งนี้มันไม่เกิด panic ดันไปเกิด panic sell ในสัญญาไตรมาสต่อไป
คงจะชีช้ำมิใช่น้อย...
กุเป็นคนที่ชอบเสี่ยง แต่เสี่ยงแบบที่กุรับได้นะ
อย่างตอนทำข้อสอบ เช่นมีสักร้อยข้อ กุมั่นไปใจไป 92 ข้อ
ส่วนอีก 8 ข้อไม่มั่นใจ แล้วใน 8 ข้อนั้น มี 4 ข้อให้จับคู่ ส่วนอีกสี่ข้อเป็นคำถามทั่วๆไป
ข้อที่จับคู่ 4 ข้อ กุจะไม่เลือก ก. ก. สองข้อ แล้วก็ ข. ข. หรือ ค ค ง ง เพื่อที่กุจะได้แค่ 50%
หรืออาจจะเลือก ก ก ก ก เพื่อหวังถูกข้อนึงชัวร์ แน่ๆ
แต่กุจะ take risk เลือก 4 ข้อไม่ซ้ำกันสักข้อเพื่อหวัง 100% ถ้าถูกหมดก็อาจจะได้คะแนนสูงสุด หรือเรียกว่า 'ท๊อประดับ'
และในทางกลับกันหากมันผิดนั่นแปลว่าอาจจะสองข้อ หรืออาจจะผิดหมดเลยก็ได้
แต่กุจะไม่ยอมเริ่มด้วยการผิดครึ่งนึงเป็นแน่แท้
อย่างน้อยถ้ากุผิดหมด กุก็อยู่ในเกณฑ์คะแนนสูงอยู่ดี ผลการตัดสินใจที่ผ่านๆ มา 95% ก็ทำให้กุได้คะแนนท๊อประดับมาตลอด
นิสัยนี้ก็ติดมาเรื่อยๆ แต่ทุกๆ ครั้งที่ผิดพลาดก็มานั่งทบทวนเสมอ แล้วก็ได้เรียนรู้จากครูที่ชื่อว่าประสบการณ์เสมอเช่นกัน
ส่วนมากพอผิดแล้วมันก็จะเห็นข้อที่พลาดทีละจุดๆ เหมือนมันเริ่มเฉลย เลยเริ่มฉลาด
การตัดสินใจจบลงย่อมมีผิดมีถูกบ้าง เป็นธรรมดา (นั่นหมายถึง กำไรกับขาดทุน ในแง่ของการลงทุน)
แต่นั่นไม่สำคัญเท่า "คุณกำไรเท่าไร
***เพราะฉะนั้นชั่วโมงบินในการเรียนรู้สำคัญมากๆ บางเรื่องที่เราไม่เคยเจอ แต่ไม่ได้หมายความว่ามันไม่มี
เคยนั่งคุยกับเพื่อนบางคน มันบอก "เนี่ยตั้งแต่กุเริ่มขับจักรยาน หรือมอไซมากุไม่เคยล้มเลยแม้แต่ครั้งเดียว"
"นั่นแปลว่าเมิงยังขี่มันไม่มากพอ..." กุตอบ
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)