วันพุธที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2555

3. Exponential Moving Average (EMA)

Moving Average คือการนำค่าเฉลี่ยของราคาปิด (Close Price) ของแท่งเทียนแต่ละวันมา Plot เป็นกราฟ

**** ถ้าภาพไม่ชัด ดูไม่ใหญ่พอ กรุณา Click ที่รูปภาพเพื่อขยายใหญ่ ****
Moving Average มีหลายอย่าง ยกมาสองตัวพอ
1. Simple Moving Average คือการนำค่าเฉลี่ยทั้งห้าวัน นำราคา Close ทั้งห้าวันมารวมกันแล้วหาร 5
2. Exponential Moving Average คือ การให้ค่าน้ำหนักวันหลังมากที่สุด ค่าน้ำหนักวันแรกน้อยที่สุด แล้วนำมาคิดทั้งหมด 5 ค่ารวมกัน ก็จะได้จุดๆ หนึ่ง

โดยตูชอบใช้ Exponential มากกว่า เพราะรู้สึกมันเหมาะกับปัจจุบันมากกว่า เพราะคิดว่าราคาวันล่าสุดควรจะมี นัยยะสำคัญมากที่สุด

ดังรูป...


ใช้ภาพใหญ่ๆ ให้เห็นชัดๆ ในภาพนี้เป็นหุ้น CPALL ( หรือเซเว่น-อีเลเว่น นั่นแหละ)

การที่ราคายืนเหนือเส้นถือว่าเป็นขาขึ้น การราคาปิดอยู่ใต้เส้นแปลว่าเป็นขาลง

*** แต่... ขึ้นอยู่กับจำนวนวันที่เซ็ทค่าไว้ด้วย ยิ่งเส้นน้อย ความผันผวนก็จะมาก ยิ่งเซ็ทค่าวันมากเกิน บางทีมันก็ตอบสนองช้าเกิน

คนส่วนใหญ่มักจะใช้สองเส้นในการช่วยดูจุดเข้าและจุดออก ดังรูป


เส้นแรก Exponential Moving Average เรียกย่อๆ ว่า EMA 5 วัน สีฟ้า
เส้นสอง EMA 15 วัน สีส้ม

ถ้าเส้นค่าเฉลี่ยวันน้อย ( ในที่นี้คือ 5 ) ตัดเส้นค่าเฉลี่ยวันมาก ( EMA15 ) ตัดขึ้นเป็นสัญญาณซื้อ
ถ้าเส้นค่าเฉลี่ยวันน้อย ( ในที่นี้คือ 5 ) ตัดเส้นค่าเฉลี่ยวันมาก ( EMA15 ) ตัดลงเป็นสัญญาณขาย

ตัดขึ้น ตัดลง ภาษาศัพท์เทคนิคเรียกว่า Cross Over
ในรูปจะเห็นได้ว่าบางทีมันก็มี False Signal อยู่ แต่ Trend ทีๆ ครั้งเดียวก็จะคืนกำไรให้หมดนั่นแหละ

คนส่วนใหญ่จะชอบใช้หลายๆ เส้น โดยส่วนใหญ่ที่ SET กันมากที่สุดคือ 5 , 10 , 15 , 20 , 50 , 75 , 200

ขึ้นอยู่กับว่าชอบเล่นเร็วหรือเล่นสั้น  ค่าเฉลี่ยแต่ละวันก็ถือเป็นแนวรับและแนวต้านในตัวของมันเอง
โดยส่วนตัวชอบใช้ 4 , 9 , 18 สามเส้นมากสุด

เนื่องจากถ้าใช้แค่ 4 กับ 9 บางทีเจอตลาด Sideways ( คือขึ้นๆ ลงๆ ไม่มี Trend ที่แน่ชัด เป็นตลาดที่เล่นยากที่สุด ) เส้น 4, 9 มันจะตัดกันลง แต่เส้น 18 เหมือนกันตลาดทิศทางแบบ Sideway หรือการปรับราคาลงเพื่อขึ้นต่อตามแพทเทิร์นของ Elliott Wave ส่วนใหญ่ 4,9 มันจะตัดกัน แต่เส้น 18 วันมันยังไม่ส่งสัญญาณ



ถ้าใช้สามเส้นก็ 4 ตัด 18 ซื้อ หรือจะเข้าโดยใช้ 4 ตัด 9 ก็ได้ โดยอาจพิจารณาตัวอื่นๆ ประกอบ
แล้วไปขาย 4 ตัด 18 วัน

กราฟต่อไป ปตท.

จริงๆ มันยังมีรายละเอียดยิบย่อย รอค่อยๆ เรียนในบทต่อๆไป

วันอาทิตย์ที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2555

2. Gap Theory

Gap Theory เป็นทฤษฎีที่บอกถึงความไม่ต่อเนื่องของราคา คือกราฟแท่งเทียนมันไม่ต่อเนื่อง มีช่องว่าง ดังรูป


รูปที่เอามาเป็น Time Frame แบบ Day คือ แท่งเทียน 1 แท่ง / 1 วัน
Gap Theory จะไม่สนใจว่าเป็นสีเขียว หรือ สีแดง สนใจแต่แท่งเทียน สนใจแต่ Gap คือ ช่องว่างของราคา

Gap Theory บอกว่า เมื่อเกิดช่องว่างของราคาหุ้น ในอนาคตจะต้องลงมาปิดแก๊ป (Close Gap) ณ วันใดวันหนึ่งในอนาคตอย่างแน่นอน ขึ้นอยู่ว่าจะช้าหรือเร็ว เร็วก็อาจจะไม่กี่วัน ช้าๆ นี่ก็อาจจะหลายๆ เดือนหรือเป็นปีก็ได้



ที่วงๆ ให้ดูนี่คือช่องว่างของราคา เด๋วไล่อธิบายทีละเบอร์ จริงๆ ในรูปมันมี Gap หรือช่องว่างมากกว่า 3 วงนะ แต่เด๋วลากเยอะเด๋วงง ถ้าเข้าใจ Concept มันก็เข้าใจทั้งหมดนั่นแหละ

เบอร์ 1

จะเห็นว่าใน 3 แท่งแรกนี้มันจะมี Gap อยู่ 2 ที่ ก็อย่างที่บอกว่า ช่วงราคาที่มันเกิด Gap มันจะต้องมา Close Gap ในวันใดวันหนึ่งอย่างแน่นอน เป็นทุกตลาดไม่เฉพาะกับตลาดหุ้นเท่านั้น ตลาดทอง ตลาดค่าเงินบาท ตลาด Commodity ก็เป็นงี้ Gap Theory สามารถประยุกต์ใช้ได้กับทุกตลาด

กรอบสี่เหลี่ยมด้านบนแบบนี้ปิดกับแท่งเทียนสีเขียวยาวๆ ตามที่ลากกรอบให้ดูถือว่า Gap นี้ปิดสมบูรณ์แบบแล้ว

มาดูกรอบสี่เหลี่ยมด้านล่างบ้าง จะเห็นว่าก่อนที่จะปิดกับแท่งเทียนสีเขียว มันมีไส้เทียนของสีแดงก่อน แบบนี้ไม่นับว่า Close Gap อย่างสมบูรณ์ พอวันถัดไปปิดกับแท่งสีเขียวจึงถือว่าเป็นการ Close Gap อย่างสมบูรณ์ตามทฤษฎี

เบอร์สอง


คือมีช่องว่างระหว่าง Body กับ Body แต่จะเห็นว่ามีไส้เทียนด้วย แบบนี้ก็ถือว่าเป็น Gap เหมือนกัน คล้ายๆ กับรูปเบอร์ 1 ก่อนปิดอย่างสมบูรณ์มีไส้เทียนสีเขียวมาขวางก่อนสองที่ แต่ปิดอย่างสมบูรณ์จริงๆ แล้วก็แท่งสีแดงยาวๆ ตามกรอบที่วาดให้ดู

เบอร์สาม


อธิบายตามเบอร์
3.1 คือ Gap จริงๆ ระหว่างราคาสองแท่ง
3.2 คือ Gap ที่ยังเหลืออยู่ที่ยังปิดไม่หมด
3.3 คือ Gap ที่ปิดไปแล้วเหลือ Gap ช่องเล็กๆ ตามเบอร์สองที่จะต้องมีการปิดในอนาคตอย่างแน่นอน



จัดเต็ม ดูภาพแบบบิ๊กๆ อันนี้เป็นกราฟ PTT ระหว่างวันที่ 07/06/10 - 04/03/12 ( ราวๆ 1 ปี 9 เดือน )

เพื่อความเข้าใจ จริงๆ มันมี Gap มากกว่านี้นะ ลากหมดเด๋วมึนกัน เอาที่พอเห็นว่ามัน Work ก็พอละ เหมือนเดิม Gap ไหนที่ยังไม่ได้ปิดในอนาคตมันก็ไปปิดนั่นแหละ กราฟขาขึ้นก็ปิด Gap ที่อยู่ข้างบน
ขาลงก็จะพยายามไปปิด Gap ที่อยู่ต่ำๆ

กราฟไหนที่ไม่ได้วงลองใช้สายตาทำการบ้านดู ว่าอันไหนปิดแล้ว อันไหนยังไม่ได้ปิด อันไหนปิดไปบ้างแต่ยังไม่สมบูรณ์ ค่อยๆ ฝึกเอา
จริงๆแล้วมันเป็นเรื่องของ Demand & Supply + จิตวิทยาการลงทุนอะ คนที่มีกำลังซื้อส่วนใหญ่กลุ่มนึงก็เล่นตามกราฟ มันเลยทำให้ทฤษฎีมันค่อนข้างจะเป๊ะ


พอละสำหรับ Gap Theory รอต่อบท 3 เรื่องใหม่

วันพฤหัสบดีที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

1. ปูพื้นฐาน + กราฟแท่งเทียน (Candle Stick)

หน้าตาภาพในตลาดหุ้นบางส่วน


1. ชื่อหุ้น
2. ราคาหุ้น ณ ปัจจุบัน  +1 หมายความว่า +1 บาท คิดเป็นเพิ่มขึ้น 0.28% จาก ณ ราคาวันก่อน คือ 358 บาท
3. Vol/Value(K) จำนวนหุ้น กับ จำนวนเงิน
4. การแกว่งตัวของราคาหุ้น (High/Low) High ของวันคือ 360 Low ของวัน 352 บาท
5. Volume  Bid / Volume  Offer

- Volume ฝั่ง Bid คือ จำนวนคนตั้งเสนอซื้อหุ้นที่ราคา 358 บาท จำนวน 11,900 หุ้น
สมมติเอ็งมีหุ้น ปตท(PTT) อยู่ในมือ 120,000 หุ้น ต้องการขายทันที นั่นหมายความว่า
จะขายที่ราคา 358 จำนวน 11900
ส่วนที่เหลืออีก 100100 หุ้น จะไปขายที่ราคา 357 บาท

- Volume ฝั่ง Offer คือ กลับกันกับฝั่ง Bid คือจำนวนคนที่ต้องการเสนอขาย โดยต้องมีหุ้นอยู่ในมือ
ที่ราคา 359 บาท มีคนต้องการเสนอขาย 166,900 หุ้น

สมมติว่าเอ็งต้องการซื้อเลยที่ราคา 359 บาทจำนวน 10,000 หุ้น ก็สามารถได้หุ้นทันที เรียกว่าหุ้นมีสภาพคล่องเพียงพอ

ทีนี้ถ้าเอ็งอยากได้ถูกลงมาหน่อยสักบาทนึง จำนวน 10,000 หุ้น ก็ไปเสนอซื้อราคาที่ 358 บาท แต่เอ็งต้องไปต่อคิว 11,900 หุ้น ไอ่จำนวนนี้ก็จะอัพเดทเพิ่มกลายเป็น 21,900 หุ้น พอมันหมด 11,900 หุ้นที่เหลือก็ถึงคิวเอ็ง

การซื้อจำนวนหุ้นต่ำสุดในตลาดหลักทรัพย์

น้อยสุด 100 หุ้น หรือมากกว่านั้น โดยหาร /100 ลงตัว
นั่นหมายความว่า ถ้าต้องการจะซื้อหุ้น ปตท. (PTT)
จะต้องมีเงินอย่างน้อย 359 x 100 =  35,900 บาทโดยประมาณ

ถ้าต้องการจะซื้อจำนวนเศษ เช่น 1 หุ้น 30 หุ้น 64 หุ้น 95 หุ้น ต้องไปซื้อในบอร์ด (ODD LOT)
ส่วนถ้าต้องการเสนอซื้อจำนวนมากๆ มหาศาลเช่น 10 ล้านหุ้น เรียกว่า (BIG LOT)
หุ้นในตลาดมีราคาต่ำสุดที่ 0.01 บาท (หนึ่งสตางค์) มีบาทนึงก็ซื้อหุ้นได้
จนสูงๆ ก็หลายร้อยบาท

มารู้จักเบสิคพื้นฐานแรกของการเริ่มต้นศึกษา Technical Analysis สิ่งแรกที่ต้องรู้จักคือ แท่งเทียน (Candlestick)

แท่งเทียนเกิดจากการเอาราคาที่แกว่งตัวในตลาดทุกๆ วันมาพล๊อตเป็นแท่ง วันละแท่ง วันละแท่ง


หน้าตามันเป็นแบบนี้

ตรงที่เขียนว่า Real Body เรียกว่า แท่งเทียน ขีดเดียว Upper/Lower Shadow เรียกว่า ไส้เทียน

สีเขียวแสดงถึง การเพิ่มขึ้นของราคา เช่น เปิดตลาด มีราคา (Open) ที่ 358 บาท
ในระหว่างวันหุ้นมักจะมีราคาแกว่ง เช่น PTT ว่ามีแกว่งทั้งขึ้นและลง คือทำ High ที่ 360 บาท Low 352 บาท
แต่ปิดตลาด (Close) จบลงที่ 359 บาท

ตรงราคา
358 - 359  บาท  เรียกว่า แท่งเทียน
352 - 358  บาท  เรียกว่า ไส้เทียนล่าง
359 - 360  บาท  เรียกว่า ไส้เทียนบน



แท่งขวาสุดคือ ณ ปัจจุบัน 1 แท่ง = 1 วัน
( ใช้ Time Frame 1 แท่งต่อหนึ่งวัน ไอ่ตรงนี้สามารถ Adjust ปรับเปลี่ยนเลือก Time Frame ได้
 เช่นถ้า Set แท่งละสัปดาห์ก็ปรับในโปรแกรมเอาได้ )

แท่งสีเขียว หมายถึงราคาเป็นบวก    เปิดต่ำแต่ปิดราคาสูงกว่า
แท่งสีแดง     หมายถึงราคาเป็นลบ      เปิดสูงปิดต่ำ

จะสังเกตุได้ว่า ไส้เทียนด้านล่างจะยาว คือราคาแกว่งระหว่างวันไปที่ 352 - 358 บาท
ส่วนแท่งเทียนมีอยู่จึ๋งนึงคือ 358 - 359
High พุ่งไป 360

** ไม่ว่าจะซื้อกี่หุ้น 1 หุ้น แสนหุ้น ล้านหุ้น ก็มีสิทธิ์เข้าร่วมประชุมผู้ถือหุ้น เพื่อรับฟังการแถลงการณ์ต่างๆ
หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมจากผู้บริหารก็ได้ เช่น เรื่องการลงทุนในอนาคต , ปันผล , จิปาถะ ฯลฯ


จริงๆ แล้วกราฟมันมีหลายแบบ แต่ใช้กันมากที่สุดก็นี่แหละ Candlestick เอา รูปมาให้ดูเฉยๆ ด้านซ้ายเรียกว่า Bar Chart

การนำแท่งเทียนหลายๆ แท่งมันก็สามารถวิเคราะห์ได้หลายๆ Pattern เอารูปมาให้ดูอีก
จะเห็นได้ว่ามี Pattern ที่หลากหลาย หรือเยอะจัด ยังไม่ต้องจำ ดูให้รู้ว่ามันมีก็พอไปก่อนตอนนี้
ไอ่พวกนี้บางคนก็เอาไป predict แนวโน้มในอนาคตกัน ย้ำอีกที ดูเฉยๆ ยังไม่ต้อง งง



วันนี้พอก่อน... ต่อตอนหน้า

วันจันทร์ที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2554

Top Rank

วันนี้นั่งดูเกี่ยวกับ The Best หรือ ระดับสุดยอด ของ Topic ต่างๆ ของเว็บ http://www.cnbc.com/ เช่น Who has the Most Gold ? โอ๊ว แค่นี้ก็น่าสนใจแล้ว หรืออีกหลายๆ Topic

คือแค่ Topic มันก็น่าคลิ๊กเข้าไปอ่านแล้ว คลิ๊กๆ เข้าไปอ่านได้ความรู้ + มุมมองใหม่ๆ เจ๋งๆ ดี

อย่าง Topic : The 15 Most Profitable Movies of All Time 

คือภาพยนตร์ที่กำไรมากที่สุดตลอดกาล เทียบจาก ROI (Return on Investment) หรือเงินลงทุนในการสร้างหนังนั่นเอง คือบางเรื่องนี่ผมไม่เคยได้ยิน + รู้จักมาก่อนเลย แต่พวกนี้กลับทำกำไรได้อย่างมหาศาล หนังมันอาจจะเรียกว่าเข้าขั้น 'อมตะ' ในบ้านของอเมริกา หรือพูดแบบหยาบๆ ว่า ไอ้กันนั่นเอง  เอิ๊ก

คือ ค่าเงิน ROI นี่ปรับลดอัตราเงินเฟ้อแล้วนะ เพื่อความยุติธรรมของปีที่ผลิตหนังด้วย

เริ่มจากอันดับ 15 ไป 1 เอามาลงเฉพาะเรื่องที่น่าจะเคยผ่านตากันมา เรื่องอื่นๆ ไม่เคยดู + ไม่เคยได้ยิน ถ้าอยากดูรายละเอียดเพิ่มเติมกดเข้าไปตามลิ้งด้านล้างโลด
15. The Lord of the Rings: The Return of the King (2003) คุ้นหู คุ้นตากันดีกับสุดยอดภาพยนตร์ แบบดูแล้วอินอ่ะ


Return on investment: 1008%
Budget $111 million (inflation-adjusted)
Gross revenue $1.1 billion

11. Jaws (1975) หนังฉลาม ดูตอนเด็กๆ นี่เหวอเรื่องฉลามไปพักนึงเวลาไปเล่นน้ำทะเล เหมือนตอนเด็กๆ เจอผู้ใหญ่เล่าเรื่องผีแล้วมันฝังใจน่ะ -.-

Return on investment: 1308%
Budget $36 million (inflation-adjusted)
Gross revenue $471 million

9. Home Alone (1990)

Return on investment: 1590%
Budget $30 million (inflation-adjusted)
Gross revenue $477 million

6. Star Wars (1977)

Return on investment: 1938%
Budget $40 million (inflation-adjusted)
Gross Revenue: $775 million

3. Slumdog Millionaire (2008)



Return on investment: 2520%
Budget $15 million (inflation-adjusted)
Gross revenue $378 million

2. E.T. the Extra-Terrestrial (1982)



Return on investment: 3172%
Budget: $25 million (inflation-adjusted)
Gross Revenue: $793 million
1. My Big Fat Greek Wedding (2002)



Return on investment: 6150% !Budget $6 million (inflation-adjusted)
Gross revenue $369 million

อีกอันนึงที่น่าสนใจคือ Best Job in America 2011 จริงๆ แล้ว ผมคิดว่ามันก็อนุมานรวมไปถึงปีก่อนๆ ด้วยนะ
แต่สิ่งที่น่าสนใจคือ เหตุผลในการเลือกจ๊อบ Reason แทบจะมีทุกอันในการเลือกคือ Hiring Outlook ความเท่ + ดูดี ในสายตาผู้อื่น คนถามนี่คุณทำงานอะไร พวกนี้คือตอบแล้วแบบ 'ยืดอก' พูดได้ว่างั้น

มาดูอันดับกันดีก่า

10. Dental Hygienist

Average Salary: $67,107
Scored High On: Hiring Outlook, Low Stress

9. Audiologist (พวกรักษาเกี่ยวกับหูอะ)

Average Salary: $63,144
Scored High On: Hiring Outlook, Low Stress

8. Historian

Average Salary: $63,208
Scored High On: Hiring Outlook, Work Environment, Salary

It used to be that the best job prospects for historians were in the classroom, and the pay was low. But, thanks to a boom in hiring of historians by the government and private sector in the past few years, demand and salaries rose

6. Meteorologist (นักอุตุนิยมวิทยา)

Average Salary: $85,210
Scored High On: Hiring Outlook

There’s always one job on the list that kind of jumps up unexpectedly and this year, that wild card spot goes to meteorologist, which climbed six notches on the list.

Meteorologists, or atmospheric scientists as the Labor Department calls them, are experiencing a

5. Computer System Analyst (พวกนักวิเคราะห์ระบบ) ตอนตูเรียนไอนี่ไม่หนุกเลย ให้ตายเหอะโรบิ้น

Average Salary: $77,153
Scored High On: Hiring Outlook, Work

4. Statistician (นักสถิติ)
Average Salary: $73,208
Scored High On: Hiring Outlook, Work Environment

3. Actuary (พวกขายประกัน)

Average Salary: $87,204
Scored High On: Hiring Outlook, Work Environment

2. Mathematician



Average Salary: $94,178
Scored High On: Hiring Outlook, Work Environment

1. Software Engineer



Average Salary: $87,140
Scored High On: Hiring Outlook, Salary, Work Environment

สังเกตุได้ว่า Reason นึงที่มีแทบจะทุก Job จะมีอีกอย่างคือ Low Stress ! ทำแล้วไม่ค่อยเครียดว่างั้น
 พวกเหตุผลรองๆ มา ก็สภาพแวดล้อมในการทำงาน แล้วส่วนมากจะสังเกตุได้ว่าเหตุผลมันก็เหมือนๆ คนทั้งโลกนั่นแหละHigh Salary ไรพวกนี้

ประมาณว่า เงินดี เครียดน้อย ดูเท่ ฮ่าๆ เหตุผลหลักๆ

แล้วที่แปลกก็คืออันดับบนๆ นี่จะเป็นเกี่ยวกับพวกเลข เพราะเนื่องจากอเมริกาเป็นประเทศที่ค่อนข้างจะเป็น Knowledge Worker ซะส่วนใหญ่ คือทำอะไรที่มันดูแล้วยากๆ ลึกลับซับซ้อนแล้วมันเท่ว่างั้นเถอะ ส่วนพวกงานระดับ Labor นี่ประเทศจะ Outsource ไปให้จีนบ้าง อินเดียบ้าง หรือประเทศในหมู่เอเซียบ้าง เพื่อตัด Cost (ต้นทุน) ของธุรกิจให้ได้มากที่สุด จะได้ถูกๆ

คือรักษาแต่ระดับพวกหัวกะทิไว้เพื่อคิดๆๆ Innovation  +  create Platform เจ๋งๆ เช่น Google , Facebook , Twitter , Microsoft windows , Internet พวกงานส่วนใหญ่ก็ใช้เครื่องทำแล้วใช้คนคุมแค่คนสองคนพอ นี่เป็นปัญหาที่ทำให้เกิดการจ้างงานในอเมริกาตามมา  เริ่มนอกเรื่อง
มาดูสิ่งที่น่าสนใจบางอันดีก่า เหมือนคำพูดของอาจารย์คนนึงตอนสมัยประถม 'รู้ไว้ใช่ว่า...'    (ใส่บ่าแบกหาม)

The Cleanest Cities : Calgary, Canada


Asia's Most Valuable Companies : PetroChina (PTR) ปิโตร ไชน่า
Market Cap: $329.6 Billion
เทียบกับพี่ปตท ของเรา Market Cap : 1,083,802 ล้านบาท

Porn's Most Popular Stars : Joanna Angel (ใครฟะ ไม่รู้จัก)
ถ้าในเมืองไทยที่คุ้นๆ หู รวมทั้งคุ้นๆ ตาด้วย? 55 ก็คงเป็นพวก มิยาบิ อาโออิ อะไรพวกนี้ อิอิ แต่ตูไม่ชอบทั้งสองคนนี้หงะ คนอื่นน่ารักกว่า ฮา

มาดูรูป


The World's Strongest Liquor Brands :  Smirnoff คุ้นเคยกันดี เอิ๊ก



The Hottest Commodities of 2011 :
1. Cotton


พอละวันนี้ ราตรีสวัสดิ์ครับ :)

วันอังคารที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

Leverage ของเงินลงทุน

การซื้อหุ้นนั้น การดูเรื่องปัจจัยพื้นฐานของบริษัทเป็นส่วนสำคัญ
รวมทั้งสถิติต่างๆ ด้วย เช่น ค่า P/E , P/BV , งบต่างๆ ฯลฯ

สมมติถ้าเกิดเจอหุ้น พื้นฐานแข็งแกร่ง P/E ใกล้ๆ กัน ตัวเลขอื่นๆ ก็ใกล้ๆ กัน จะเลือกยังไงดี ?

มาดูกัน...

ที่สำคัญไม่แพ้กันคือ ราคากับจำนวน ที่ซื้อ กับช่วงของราคา

เนื่องจากราคาหุ้นในตลาดมีราคาไม่เท่ากัน คือ มีราวๆ 500 บริษัท
ราคาก็มีตั้งแต่ 0.01 จนถึง 800 กว่าบาท ต่อหุ้น การซื้อต้องซื้อขั้นต่ำอย่างน้อย 100 หุ้น
และต้องซื้อในจำนวนที่ 100 หารลงตัวเสมอ (ไม่รวมกระดาน Odd Board ซึ่งสภาพคล่องต่ำมาก)

ในวงเงินจำนวนเท่ากัน ในที่นี้จะสมมติที่ 740,000 บาท เพื่อให้หาร Banpu ลงตัว ณ ราคาปัจจุบัน
ถ้าไม่นับเรื่องความถูกแพงของหุ้น ไม่ดูค่า (P/E , P/BV , อื่นๆ ) คือนัยว่าวิเคราะห์มาแล้ว
และเป็นการลงทุนระยะสั้น เรียกง่ายๆ ว่า "Day Trade"

** การกำหนดวงเงินเท่านี้เนื่องจากในจำนวนเงินเท่านี้สามารถ 'เคาะ' หุ้นเพียงครั้งเดียวแล้วได้หมดเลย
ถ้ากำหนดวงเงินมากกว่านี้เช่น 5 ล้าน บางห้นสภาพคล่องไม่เพียงพอทำให้ต้องถัวเฉลี่ยราคาที่ซื้อไป
จะทำให้เข้าใจยากต่อคนอ่านมากขึ้น

การเข้าซื้อหุ้นในขณะที่ช่องเหมือนกัน แต่กำไรไม่เท่ากัน แน่นอนขาดทุนก็ไม่เท่ากันเช่นเดียวกัน

ราคา < 2 บาท  จะเพิ่มช่องละ  0.1
ตั้งแต่ > 2-5 บาท ในช่วงนี้ จะเพิ่มทีละ 0.02
ตั้งแต่ > 5-10  จะเพิ่มทีละ 0.05
ตั้งแต่ > 10 -25  จะเพิ่มทีละ 0.10
ตั้งแต่ > 25-100  จะเพิ่มทีละ  0.25
ตั้งแต่ > 100 - 200 จะเพิ่มทีละ  0.5
ตั้งแต่ > 200 - 500 จะเพิ่มทีละ 1
ตั้งแต่ 500 - 1000  จะเพิ่มทีละ  2

ทีนี้คำถามว่าควรจะซื้อราคาไหน สมมติว่าเอ็งเป็น Day Trade แล้วจะได้กำไรมากที่สุด

สมมุติเด้ง 3 ช่องขาย ราคาที่เอามาเป็นราคา ณ วันที่ 08/02/54

การคิดไม่นับค่า Commission กับ Tax คิดเป็นตัวเลขกลมๆ ดูง่ายๆ
วงเงินทุกตัว 740,000 บาท ( เนื่องจากจะได้หาร BanPu ลงตัวซึ่งเป็นหุ้นที่มีราคาต่อหุ้นสูงสุด ราคาพาร์นั่นแหละ )

Banpu ราคา 740 บาท  ซื้อได้จำนวน  1000 หุ้น  เด้ง 3 ช่องขายนั่นแปลว่า ขายที่ราคา 746 บาท / หุ้น กำไร = 6000 บาท

JAS ซื้อราคา 1.87 จำนวน 395,700 หุ้น ขาย 1.90  กำไร 11,871 บาท
BTS ซื้อราคา 0.74 จำนวน 1,000,000 หุ้น ขาย 0.77  กำไร 30,000 บาท
MCS ซื้อราคา 10.5 จำนวน 70,400 หุ้น ขาย 10.8  กำไร 21,120 บาท
CPF ซื้อราคา 21.9 จำนวน 337,00 หุ้น ขาย 22.2  กำไร 10,110 บาท
AJ ซื้อราคา 27.25 จำนวน 27,100 หุ้น ขาย 28 กำไร 20,325 บาท
PTL ซื้อราคา 30.5 จำนวน 24,200 หุ้น ขาย 31.25  กำไร 18,150 บาท


จะเห็นได้ว่าในวงเงินเท่ากัน กำไร / ขาดทุนก็ไม่เท่ากัน ในขณะที่ช่องเคลื่อนไปเท่ากัน

จริงๆ แล้วยังมีการซื้ออีกรูปแบบหนึ่ง เป็นแบบ ควบช่องราคาที่ต่างกัน
เช่น ซื้อ IVL ราคา 24.90 เด้ง 3 ช่อง
ช่องแรก กำไรช่องละ 0.10 บาท
ช่องสอง กำไรช่องละ 0.25 บาท ( รวมเป็น 0.35 ) เนื่องจากราคาเลย 25 บาท เป็น 25.25
ช่องสาม กำไรช่องละ 0.25 บาท ( รวมเป็น 0.60 ) ราคาเป็น 25.50
ถ้าวงเงิน 740,000 ซื้อได้ 29,700 หุ้น กำไร 17,820 บาท
ถ้า ซื้อ ณ ราคา 25 บาท จะกำไร 22,200 บาท

จะเห็นได้ว่ายิ่งซื้อใกล้ราคาบันไดช่วงใหม่ตอนเริ่มต้นมากเท่าไหร่ กำไรก็จะมากตามด้วย

**สรุป ถ้าเกิดมีหลายๆ ตัวเลือก แล้วพื้นฐานโดยส่วนใหญ่ใกล้เคียงกัน ให้ดูราคาเป็นหลัก ยิ่งใกล้ช่วงเริ่มต้นบันไดใหม่เท่าไหร่ ให้เล็งตัวนั้นไว้ก่อน ยิ่งปลายบันไดมากเท่าไหร่ โดยถ้าเล่นสั้น ควรเลือกตัวที่ถูกกว่า
ถ้าเล่นยาวก็ไม่เป็น เนื่องจากมีโอกาสกินส่วนต่างของช่วงที่เพิ่มขึ้น

***สรุป 2 ในระยะยาวแล้ว หุ้นถูกกว่า มีสิทธิ ทำกำไรได้หลายเด้งมากกว่า

**** สรุป 3 ถ้าทุกอย่างเหมือนกัน ให้ซื้อที่ใกล้ราคาใกล้ช่วงเริ่มต้นใกล้บันไดช่วงใหม่มากที่สุด และเลือกขั้นบันไดที่ถูกที่สุด

ให้จำไว้ว่ายิ่งเงินลงทุนมากเช่น 10 ล้าน ส่วนต่างก็มาก บางทีต่างกันหลายแสนเพราะแค่ขั้นบันไดของราคา

สุดท้าย ขอให้โชคดีมีตังในการซื้อขายหุ้นกันถ้วนหน้า

โดยส่วนตัวแล้ว เชื่อว่า ความรู้จะจัดดุลยภาพของเงินที่ลงทุนไปให้เหมาะสมกันเอง
แต่ทั้งนี้่ ทั้งนั้น ข้าพเจ้าเชื่อเรื่องบุญ-บาป ด้วย

คนมีบุญจิ้มตัวไหน ตัวนั้นก็ขึ้น ถึงแม้ว่าพื้นฐานไม่ดี แต่บางทีเข้าจังหวะดี มีข่าวดี มีจ้าวลาก
อาทิเช่นต้องการเพิ่มทุน ก็กำไรบาน เสมือนบุญก็จะนำพาโอกาสดีๆ มาให้
แต่ถ้าความรู้ไม่มีก็ไม่รู้จะขายช่วงไหน ทำให้กำไรที่ได้ค่อยๆหดลงเรื่อยๆ ดีไม่ดีกลายเป็นขาดทุนไป
เพราะฉะนั้นอย่าลืมแบ่งเงินส่วนหนึ่งไปทำบุญด้วย และก็อย่าทำบาปเด้อ จะทุกข์หลายๆ สิบอกไห่

วันจันทร์ที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2554

Pay it forward

เมื่ออาทิตย์ก่อน ไปเที่ยวภาคเหนือ ไปจากกรุงเทพ - นครสวรรค์ - ลำปาง - เชียงใหม่

นั่งรถทัวร์ แบบมีไกด์ไป ไม่ได้เที่ยวแบบมีไกด์นานมากแล้ว ส่วนมากชอบแบกเป้ผจญภัยมากกว่า

บางทีแบกเป้ไป ทำการบ้านไปไม่ดี เที่ยวไม่คุ้ม แถมเสียตังเยอะอีกต่างหาก อย่างตอนไปเที่ยวญี่ปุ่น

เสียตังไปหลาย แต่เที่ยวไม่ค่อยคุ้มเท่าไหร่ ตอนนั้นไปคนเดียวด้วย เปรี้ยวจริงๆ

เข้าเรื่องดีกว่า...

นั่งรถไป ระยะเวลาทั้งหมดจากกรุงเทพ ไปถึงโรงแรมเชียงใหม่ ใช้เวลาประมาณ 12-14 ชั่วโมง

แวะปั้มประมาณ สองชั่วโมงครั้ง ออกจากกรุงเทพราวๆ 17.30 นั่งๆ ไป ราวๆ สองทุ่มครึ่ง

แวะพักกินข้าวต้มที่โรงแรมพิมพิมาน กินเสร็จรู้สึกมวนท้อง

จริงๆ แล้ว โดยส่วนตัวเบื่อการนั่งอะไรนานๆ โคตร เช่นนั่งเครื่องบิน นั่งรถทัวร์ มันรู้สึกอึดอัด ขยับก็ไม่ค่อยจะได้ดั่งใจ

ไปคราวนี้กะไปพักผ่อนเยอะๆ แต่โปรแกรมแม่งกินๆ เที่ยวๆ ทั้งวัน นอนวันละ 5-6 ชั่วโมง แถมวันแรกไม่ได้นอนอีกต่างหาก

คิดว่าได้ไปผ่อนคลายแล้วไออาการที่ป่วยๆ ออดแอดๆ อยู่จะหายดี จริงๆ ป่วยครั้งนี้มีสาเหตุ เอาไว้ค่อยเขียนอีกเรื่อง

เป็นเรื่องที่แปลกแต่จริง ! เล่าไปเรียบร้อยที่ Meeting ครั้งนึงละ

เข้าเรื่องต่อ... ออกทะเลประจำ ฮ่าๆ

นั่งไปปวดท้องไป คิดว่าสักพักคงหาย เอ้ยแม่งไม่หายเฟ้ย บอกไกด์สาวชื่อพี่ชมพู่ ขอพาราเม็ดนึงครับ

เธอพยักหน้ารับรู้ แล้วเดินหันหลังกลับไปที่ชั้นหนึ่งไปหยิบยา สักพักขึ้นมา บอกยาหมดค่ะ นั่งปวดต่อ

จริงๆ กะกินสักเม็ดจะได้หลับๆ เลยหลับตาสักพัก ผู้ ญ สองคนข้างหน้าวัยรุ่น อายุใกล้ๆ กะเรา

หันมา ยื่นพารามาสองเม็ด พร้อมรอยยิ้ม รู้สึกว่าเธอสวยขึ้นมาทันใด

ทำให้นึกถึงหนังสือเล่มนึง ของหนุ่มเมืองจันทน์ ที่อ่านผ่านมานานแล้ว



เล่าว่า...
เป็นเรื่องของเด็กนักเรียนชั้นประถมคนหนึ่งชื่อ “เทรเวอร์ แมคเคนนีย์”
เขาเจอการบ้านมหาโหดของครู นั่นคือ ให้หาแนวคิดที่สามารถเปลี่ยนแปลงโลก และนำไปปฏิบัติได้จริง
Think of an idea to change the world and put it into action

เด็กน้อยเสนอแนวคิดหนึ่งที่น่ามหัศจรรย์
เป็นแนวคิดที่เกิดขึ้นภายใต้ความเชื่อที่ว่า “ความดี” สามารถส่งต่อกันได้
ถ้าเราทำความดีช่วยเหลือใครสักคนหนึ่ง และขอให้เขาช่วยคนอื่นอีก 3 คน
โลกเราจะเปลี่ยนแปลงทันที
คิดดูสิว่าวันนี้เราช่วยคน 3 คน วันต่อมา 3 คนนั้นได้ช่วยคนอื่นอีกคนละ 3 คน ก็เป็น 9 คน
วันต่อมาก็จะเพิ่มเป็น 27 คน เพียงแค่ 2 สัปดาห์จะมีคนที่ได้รับความช่วยเหลือถึง 4,782,969 คน
วันต่อมาลองเอา 3 คูณเข้าไปสิครับ คูณไปเรื่อยๆ
ช่างเป็นตัวเลขที่น่ามหัศจรรย์มาก
และคุณหนุ่มเมืองจันท์ยังเขียนไว้ต่อว่า

ผมเคยสัมผัสถึงพลังจากการ “ได้รับ” มาก่อนที่ลำปาง
และเห็นการส่งต่อ “น้ำใจ” จากคนหนึ่งไปยังอีกคนหนึ่ง
จาก “พี่พจน์” ถึง “ผู้หญิง” คนนนันี้ มันเป็น “เรื่องจริง” ไม่ใช่ “นิยาย”
เชื่อไหมครับว่าความรู้สึกในวันที่ผมได้รับจดหมายจากพี่ผู้หญิงคนนั้นยังอยู่ในความทรงจำของผมตลอดเวลา
เราก็รู้สึกดีกับการ “ได้รับ” มากพอแล้ว
แต่เชื่อไหมครับว่าเมื่อเทียบกับความรู้สึกที่เรา “ได้รับ” จาก “การให้” ของเรา
แม้จะไม่ได้ตั้งใจก็ตาม หรือแม้จะไม่ได้หวังผลตอบแทนก็ตาม
พลังของความรู้สึกที่ได้รับมันอิ่มเอิบ และท่วมท้นใจ
มากกว่าการ “ได้รับ” โดยที่ไม่ได้ “ให้” มากมายหลายเท่าตัวจริงๆครับ

PAY IT FORWARD ส่งต่อ “น้ำใจ” นี้ไปข้างหน้า ส่งต่อไปเรื่อยๆ
และที่คุณหนุ่มเมืองจันท์ ได้พูดถึงเพื่อชวนให้เพื่อนๆ เล่นเกม PAY IT FORWARD กัน

-----------------------------
จริงๆ แอบคิดไปถึงผลตอบแทนทบต้นในรูปของการลงทุนที่เพิ่งอ่านไปด้วย เอิ๊ก
ขอเล่าสักนิด วันก่อนนู้นไปของานวิจัยของ ดร.ไพบูลย์ เสรีวิวัฒนา จาก money channel มา อ่านแล้วน่าทึ่งมาก
การลงทุนโดยใช้วิธี Magic Formula สามารถสร้างผลตอบแทนจากหนึ่งล้าน กลายเป็น เกือบๆ สองพันล้าน ภายใน 15 ปี แต่ตูเพิ่งเอามาลองใช้กับพอร์ต เพิ่งปรับเนี้ย ปรากฎว่าแลดูดีมาก แต่ไม่กล้าเผย ขอดูระยะยาวๆ ก่อนเด้อ

จริงๆ แล้วตูเอาวิธีการมาดัดแปลงอีกขั้นนึง คิดว่าวิธีนี้น่าจะสร้างผลตอบแทนได้ดีกว่า แต่ยังไม่ได้ลองวิจัยข้อมูลเก่าดูนะ ขี้เกียจหงะ

ตัวไหนติดลบอยู่อยากจะเปลี่ยนขายทิ้ง มาถือตัวแบบ Magic Formula จัง แต่ก็นะ รอเด้งดีฟ่าา
แย้มอีกนิด ใครอยากเรียน เดือนมีนาน่าจะว่าง เด๋วจะมาสอนแบบเทความรู้ให้เต็มที่
-----------------------


ออกทะเลอีกละ 555+

สรุปดีกว่า หลังจากกินสองเม็ดนั้นเข้าไปแล้ว ปรากฎว่า...

ยามันกัดกระเพาะอะ หนักกว่าเดิมก่อนกินอีก ฮ่าๆๆ นั่งทรมานไปจนถึงเชียงใหม่นู้นนน

แต่... รู้สึกดีจริงๆ นะ ถึงแม้มันเป็นสิ่งเล็กๆ แต่น้ำใจที่เค้ามอบมันไม่เล็กด้วยนา มันอิ่มเอิบใจหงะ

ตอนจบของหนังสือ หนุ่มเมืองจันท์ ซึ่งเขียนไว้ว่า
"ผมไม่รู้ว่าคุณชอบหนังสือเล่มนี้หรือเปล่า แต่ถ้าชอบ และคิดว่าหนังสือเล่มนี้มีค่าพอสำหรับคนที่เรารัก คนที่กำลังสูญเสียความเชื่อมั่น คนที่รู้สึกท้อแท้ใจ คนที่มีปัญหา คิดว่าหนังสือเล่มนี้มีค่าพอที่จะส่งต่อ ไม่ต้องซื้อเล่มใหม่ให้เพื่อนหลอกครับ แต่ลองส่งต่อหนังสือเล่มนี้ให้กับคนที่ต้องการกำลังใจ หรือความรู้สึกดีๆ"
จากคุณ ส่งต่อให้เพื่อน จากคนที่ 1 สู่คนที่ 2
จากคนที่ 2 สู่คนที่ 3
และจากคนที่ 3 สู่คนที่ 4
และช่วยส่งหนังสือเล่มนี้คืนกลับไปให้ “ผู้ให้” คนแรก
ผมเชื่อว่านี่คือ “ของขวัญ” ที่มีค่ายิ่ง
และอาจเป็นจุดเริ่มต้นของสิ่งดีๆ ที่เกิดขึ้น ณ.จุดเล็กๆ ในโลกนี้
ผมเชื่อว่าวันที่หนังสือเล่มนี้คืนกลับถึงมือเจ้าของตัวจริง
แม้จะเป็น หนังสือเก่า ที่ผ่านมือคน 3-4 คนมาแล้ว
แต่มันจะมีคุณค่าทางใจยิ่งกว่า หนังสือใหม่ เสียอีก
เพราะทุกบรรทัด ทุกหน้า มันมีเรื่องราว
เป็นเรื่องราวของ “การให้” และ “การได้รับ”
ผมแอบเชื่ออยู่ลึกๆ ว่าวงจรแห่งความรู้สึกนี้เมื่อเกิดขึ้นแล้ว จะไม่มีอะไรจะหยุดมันได้
ความรู้สึกดีๆ นี้จะอยู่ในใจ และส่งต่อออกไปไม่มีที่สิ้นสุด

Just pay it forward :)

สุดท้ายนี้ก็...สุขสันต์วันที่เราบังเอิญได้เจอกันผ่านตัวหนังสือครับบ

วันพุธที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2554

Experience

ประสบการณ์...

คำว่าประสบการณ์ นิยามของกุ หมายถึงความทรงจำที่ผ่านมา แล้วยังคงจำจำได้อย่างยาวนาน เนื่องจากส่วนใหญ่มักมีบทเรียนที่น่าจดจำ หรือเจ็บจำ

ไม่เหมือนกับการเรียน อ่าน ฟัง ทั่วๆไป ไม่นานก็ลืม

ประสบการณ์ส่วนใหญ่ล้วนมาจากการที่ตนเองประสบเอง take action เอง รับเอง เรียนรู้เอง และที่สำคัญ จะจำได้นาน ถือเป็นบทเรียนที่คุ้มค่า

บางประสบการณ์ล้วนน่าจดจำ บางครั้งคิดถึงทีไรก็อดยิ้มไม่ได้ทุกที แต่บางทีเจอคราวเคราะห์ก็ยิ้มไม่ออกเหมือนกัน

แต่อะไรที่มันผ่านเข้ามาแล้วติดอยู่ในความทรงจำ ล้วนสอนอะไรบางอย่างเสมอ

เรื่องบางเรื่องบางทีกคิดว่าตัวเองรู้ดีแล้ว แต่อยู่มาบางวันกลับพบว่าตัวเองไม่รู้อะไรเลยก็มี...

อย่างเรื่องการลงทุน...

บางครั้งก็กำไร บางครั้งก็ขาดทุน แต่เทียบสัดส่วนแล้วกำไรมากกว่าโข

ยกตัวอย่าง อย่างเดือนที่ผ่านมากุขาดทุนจากสัญญา Options ไปก้อนหนึ่ง
กุคิดว่าอย่างมากก็ขาดทุนก็ไม่น่าเกิน 60% จากเงินลงทุน แต่อะไรที่เมิงคิดแค่สองทาง บางทีมันก็เหมือนเล่นตลกมีทางที่สามโผล่มาแบบให้ต๊กกะใจเล่น ( ตอนจบสัญญาค่า Premium ลงไป 99% โดนค่าธรรมเนียมปิดสัญญาอีกราวๆ 1% ครบร้อยพอดี )

จริงๆ แล้วมันเกิดจาก panic sell ของคนในตลาดต่าง dump ราคากันมา จนมันไม่ได้อิง index ที่แท้จริง

รายละเอียดขี้เกียจอธิบายนะ แต่ความรู้สึกเสียดายน้อยมาก รู้สึกว่าเงินที่สูญไปนี่มันคุ้มจริงๆ นะ

ทำให้กุรู้เลยว่าสภาพตลาดบ้านเราไม่เหมาะที่จะเล่น Options เนื่องจากเหตุผลหลายๆ ประการ เป็นความรู้ที่ได้จากการเสียเงินในครั้งนี้

คือจริงๆ กุกะลงเงินก้อนใหญ่กว่านี้อย่างน้อยสักสิบเท่า แล้วถ้าเกิดครั้งนี้มันไม่เกิด panic ดันไปเกิด panic sell ในสัญญาไตรมาสต่อไป

คงจะชีช้ำมิใช่น้อย...

กุเป็นคนที่ชอบเสี่ยง แต่เสี่ยงแบบที่กุรับได้นะ

อย่างตอนทำข้อสอบ เช่นมีสักร้อยข้อ กุมั่นไปใจไป 92 ข้อ

ส่วนอีก 8 ข้อไม่มั่นใจ แล้วใน 8 ข้อนั้น มี 4 ข้อให้จับคู่ ส่วนอีกสี่ข้อเป็นคำถามทั่วๆไป

ข้อที่จับคู่ 4 ข้อ กุจะไม่เลือก ก. ก. สองข้อ แล้วก็ ข. ข. หรือ ค ค ง ง เพื่อที่กุจะได้แค่ 50%

หรืออาจจะเลือก ก ก ก ก เพื่อหวังถูกข้อนึงชัวร์ แน่ๆ

แต่กุจะ take risk เลือก 4 ข้อไม่ซ้ำกันสักข้อเพื่อหวัง 100% ถ้าถูกหมดก็อาจจะได้คะแนนสูงสุด หรือเรียกว่า 'ท๊อประดับ'

และในทางกลับกันหากมันผิดนั่นแปลว่าอาจจะสองข้อ หรืออาจจะผิดหมดเลยก็ได้

แต่กุจะไม่ยอมเริ่มด้วยการผิดครึ่งนึงเป็นแน่แท้

อย่างน้อยถ้ากุผิดหมด กุก็อยู่ในเกณฑ์คะแนนสูงอยู่ดี ผลการตัดสินใจที่ผ่านๆ มา 95% ก็ทำให้กุได้คะแนนท๊อประดับมาตลอด

นิสัยนี้ก็ติดมาเรื่อยๆ แต่ทุกๆ ครั้งที่ผิดพลาดก็มานั่งทบทวนเสมอ แล้วก็ได้เรียนรู้จากครูที่ชื่อว่าประสบการณ์เสมอเช่นกัน

ส่วนมากพอผิดแล้วมันก็จะเห็นข้อที่พลาดทีละจุดๆ เหมือนมันเริ่มเฉลย เลยเริ่มฉลาด

การตัดสินใจจบลงย่อมมีผิดมีถูกบ้าง เป็นธรรมดา (นั่นหมายถึง กำไรกับขาดทุน ในแง่ของการลงทุน)

แต่นั่นไม่สำคัญเท่า "คุณกำไรเท่าไรเมื่อคุณถูก และคุณขาดทุนเท่าไรเมื่อคุณผิด”

***เพราะฉะนั้นชั่วโมงบินในการเรียนรู้สำคัญมากๆ บางเรื่องที่เราไม่เคยเจอ แต่ไม่ได้หมายความว่ามันไม่มี

เคยนั่งคุยกับเพื่อนบางคน มันบอก "เนี่ยตั้งแต่กุเริ่มขับจักรยาน หรือมอไซมากุไม่เคยล้มเลยแม้แต่ครั้งเดียว"

 "นั่นแปลว่าเมิงยังขี่มันไม่มากพอ..." กุตอบ