วันพุธที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2553

โอกาส กับ การตัดสินใจ

ในชีวิตคนเรา คงเคยได้ยินคำว่า โอกาส ผ่านหูกันมามากมายนับไม่ถ้วน

ไม่ว่าจะ โอกาสดี โอกาสร้าย หรือ เสียโอกาส อะไรก็ตามที ล้วนเป็นสิ่งที่เป็นประสบการณ์ชั้นครูทั้งสิ้น

คำว่าโอกาส นั้น มักมี คำว่า 'ตัดสินใจ' แฝงอยู่

การเลือกที่จะ 'ไม่ตัดสินใจ ก็คือ การตัดสินใจ' กับโอกาสนั้นๆ นั่นเอง

เพราะไม่ว่าจะตัดสินใจปัญหาขี้หมู ขี้หมา หรือใหญ่โตสักเพียงใด กับโอกาสทุกๆ อย่างที่ผ่านมา มันก็มีผลต่อชีวิตทั้งสิ้น มากบ้าง น้อยบ้าง

โอกาสที่ผ่านเข้ามาชีวิตคนเรานั้นมันเหมือนลูกเบสบอลที่ถูกขว้างมา กุคิดว่าไม่จำเป็นต้องตีทุกลูก ตีลูกที่คิดว่าตีได้ถนัดที่สุด แล้วก็หวดให้เต็มแรง...ก็พอ บางลูกก็มาเร็วจนไม่ทันตั้งตัว

แต่บางคน...ก็มัวแต่รอ...รอแล้วรอเล่า...เมื่อไหร่ลูกที่ดีที่สุดจะมาสักที... ลูกแล้วลูกเล่าค่อยๆผ่านไป...

แต่ไม่คิดที่จะตีเลยสักที... แล้วมาคิดย้อนกลับไป ถ้ารูงี้...ตีไปก็คงจะดี... แปลกดีเหมือนกัน...

บางคนถาม... อ่าว...เห้ย แล้วไมไม่หวดมันทุกลูกเลยหล่ะวะ

ดูก่อน สหาย...

เนื่องจากเกมการตัดสินใจของมนุษย์นี่เป็นสิ่งมหัศจรรย์ เพราะใจเป็นใหญ่ การทำอะไรสิ่งหนึ่งต้องตัดสินใจก่อนเสมอไม่ว่าเอ็งจะรู้ตัวหรือไม่รู้ตัวก็ตามที

ทีนี้มันไม่ใช่มีแต่ว่าเมิงตัดสินใจกับโอกาส หรือเรื่องใดที่ผ่านๆ เข้ามา แล้วก็จบ แต่มันมีเรื่องจิตใจเข้ามาเกี่ยวข้อง

แล้วกายของมนุษย์ที่ประกอบด้วยจิตใจนี่ถือว่ามันเป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลก

เช่น ถ้าใช้ส่วนหนึ่งส่วนใดของร่างกายมากเกินไป กายมันจะเริ่มแสดงอาการออกมา เริ่มมีอาการปวดบ้าง ล้าบ้าง หรืออาจค่อยๆ เสื่อมไปตามสภาพร่างกาย

สิ่งที่เค้าเรียกกันว่า 'มนุษย์' ไม่ได้ประกอบด้วย กายอย่างเดียว แต่ยังมีเรื่องของจิตใจเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย

เช่นการที่คนๆหนึ่ง รักคนหนึ่งมาก เมิงทุ่มเทเต็มที่เลย ให้ทุกอย่าง รัก เทคแคร์ ดูแล คิดว่าเป็นรักในอุดมคติ รักที่มีแต่การให้...

(* แต่โดยปกติแล้ว มนุษย์มักมีความพอใจในสิ่งที่เรียกว่าความ 'พอดี' อยู่ลึกๆ สิ่งใดที่เกินไปหรือน้อยไปย่อมก่อเกิดผลกระทบที่เป็นลบมากกว่าผลกระทบที่เป็นบวก )

แต่ผลที่ได้รับกลับมา หรือ reaction ที่เรียกว่าเส้นความคาดหวังสูงกว่าเส้นการรับรู้ในทางทฤษฎี หรือที่เรียกกันง่ายๆ ว่า "ผิดหวัง" ยิ่งถ้าสองเส้นนี้มีระยะห่างมากเท่าใด ก็จะส่งผลแรงขึ้นเท่านั้น

จิตใจมันจะเริ่มส่ออาการมาให้เอ็งรู้ละ ว่ามัน ' ปวดใจ ' หรือ ทุกข์ใจ

มันอาจกำลังบอกว่าเริ่มเป็นการให้ค่าสิ่งๆ นั้นเกิน ' พอดี ' ไม่ก็ทุ่มมากเกินไปรึเปล่า?

ลองคิดดูถ้าเกิดเมิงหวดลูกทุกลูกต่อๆ กัน แรงที่เมิงจะหวดลูกต่อไปย่อมน้อยลง หลักสิบยังพอทน หลักร้อยในระยะเวลาต่อๆ กันหล่ะ?

เพราะฉะนั้นย่อมไม่มีแรงกายแรงใจที่จะหวด 'โอกาส' ที่ผ่านเข้ามานั้นได้อย่างเกิดประสิทธิภาพมากที่สุด

แต่... แต่ แต่

แต่ในทางกลับกัน ยิ่งใช้ส่วนใดส่วนหนึ่งมากๆ อวัยวะส่วนนั้นหรือจิตใจกลับแข็งแกร่งยิ่งขึ้น... มหัศจรรย์มั้ยหล่ะ

ลองสังเกตุดู พวกที่ออกกำลังกาย ยิ่งใช้ร่างกายส่วนใดมาก ส่วนนั้นก็จะค่อยๆ แข็งแรงขึ้น มีกล้ามเป็นมัดๆ

หรือใช้สมองคิดสิ่งใดมากๆ สมองเมื่อได้รับการฝึกฝนในการคิดก็ย่อมที่จะเป็นคนคิดได้เร็วในศาสตร์ที่ตนถนัด

จิตใจที่ได้เรียนรู้ว่าสุขก็ชั่วคราว ทุกข์ก็ชั่วคราวบ่อยๆ ว่าทุกอย่างเดี๋ยวมันก็ผ่านไป ก็ย่อมปรับตัวและเข้าใจถึงธรรมชาติที่มีได้เร็วกว่าปกติ

แล้วโลกหรือโรงละครใบใหญ่ใบนี้ ก็ไม่เคยให้เมิงได้หวดโดนได้ทุกลูก แล้วสามารถตีโฮมรันได้ทุกลูกด้วยเช่นกัน

มันพยายามจะสอนว่า บางครั้งเมิงก็หวดพลาด บางครั้งก็ตีโดน บางทีเมิงก็ตีโฮมรัน

เพียงแค่สามารถเก็บเกี่ยวประสบการณ์ที่พลาดมาทำให้ฉลาดยิ่งกว่าเดิม และเรียนรู้ทุกข์เพื่อที่จะได้รู้ว่าสุขมีค่าแค่ไหน และในทางกลับกัน ก็เรียนรู้ที่จะเสพเมื่อช่วงเวลาแห่งความสุขผ่านเข้ามา

และไม่ว่าจะสุข หรือทุกข์กับโอกาส กับการตัดสินใจที่ผ่านๆ มากเพียงใด ให้จงระลึกไว้เสมอว่า

เดี๋ยวมันก็ผ่านไป...

วันจันทร์ที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2553

ความทรงจำ ณ แดนปลาดิบ

เฟี้ยววววววววว.... เสียงเครื่องบินร่อนลงจอด ณ สนามบินนาริตะ



ชายหนุ่มจากเมืองไทยหิ้วกระเป๋าใบเขื่องสองใบโตๆ สะพายเป้อีกใบไว้ข้างหลัง เสียบหูฟัง ลากกระเป๋าดังครืดๆ ไปยังช่องขาเข้า

เพื่อเข้าดินแดนแห่งเทคโนโลยี ที่เรียกกันว่า 'ญี่ปุ่น' หรือ 'ดินแดนปลาดิบ'

ย้อนกลับไปเมื่อก่อนหน้านั้นก่อนที่โครงการ Work and Travel เมื่อราวๆ สองสามปีก่อนจะเริ่มต้นขึ้น ซึ่งเป็นเรื่องราวของทั้งหมด

นัดแนะกันสี่คนว่าหลังจากทำงานที่เมกาเสร็จ จะไป Stop Over ที่ญี่ปุ่นสักอาทิตย์ เลยจัดการเปลี่ยนสายการบินจาก China Airlines เป็น ANA

พอไปถึงเมกาสักพัก พวกมันดันเปลี่ยนใจ เปลี่ยน Flight กลับเมืองไทยกันหมด มีเหตุผลต่างๆ กันไป

ไอเชาว์คิดถึงเมีย ไอเชนแม่ไม่สบาย ไอไข่ไม่รู้มัน...

สรุปเหลือกุคนเดียวที่ยังยืนหยัดว่ายังจะไป และ 'อยากไป' ญี่ปุ่นอยู่

หลังเลิกงานจากโรงแรมแล้วก็จะนั่งเล่นเน็ตหาแหล่งท่องเที่ยว ที่พัก จนดึกๆ ทุกวัน ตามเว็บพันทิพย์บ้าง เว็บ Review อื่นๆ บ้าง นั่งหาอยู่สองอาทิตย์

จริงๆ บางวันเหนื่อยๆ หลังเลิกงานก็ไม่อยากหาข้อมูลต่อหรอก แต่เผอิญว่า...กุทำกุญแจบ้านหาย เลยต้องรอคนในบ้านกลับมาก่อน ซวยสาด

ทุกทีกุจะชอบกลับบ้านเร็วๆ ไปทำอาหารกินเอง ไม่ก็นอนจิบเบียร์ ฟังเพลง ไม่ก็ไปปาร์ตี้กะเด็กไทย ทำอาหาร เล่นเกมกัน เล่นไพ่ นั่งคุยกัน เพลินดี ชีวิตสุขีหงะ พวกที่ไปเจอกันที่นู่น ตอนนี้ก็ยังคุยกันอยู่ แต่ช่วงนั้นกลับเร็วไม่ได้ เพราะไม่มีกุญแจ

ตอนหลังพบว่าในตู้เก็บของแม่งมีกุญแจสำรองเกือบสิบอัน ตอนกุทำความสะอาดวันสุดท้ายก่อนออกจากบ้าน สาดด

เสร็จตัดสินใจเลือกโรงแรมไป เสียค่าจองไป 10% ของค่าเข้าพัก

นั่งกับไอไข่สองคน ขึ้นเครื่องจากเมกา สู่นาริตะ เสร็จแม่งก็เซย์กู๊ดบายกุ ดูหวิวๆ ชอบกล ที่กุต้องอยู่ญี่ปุ่นคนเดียวอาทิตย์นึง

ถึงแม้ว่าจะไปเที่ยวคนเดียว แต่ก็มีเรื่องประทับใจมากมาย

เริ่มจากสายการบิน ไม่ใช่เพราะแอร์น่ารัก แต่ประทับใจในการบริการ

พอดีกุลืมแจ้งสะสมไมล์ข้างล่างที่เค๊าเตอร์ แต่ขึ้นมาบนเครื่องแล้ว เลยถามแอร์ว่าทำไงดี

แอร์มันก็บอกเด๋วกลับมาคุยนะคะ มันก็ไปเสิร์ฟอาหาร ไรของมันอะ กุกินเสร็จ หลับ...

แล้วคนญี่ปุ่นที่นั่งข้างๆ แม่งจี้อย่างเว้ย แม่งปวดฉี่มาก แต่มันไม่กล้ารบกวนกุอะ คือเห็นกุหลับอยู่

กุตื่นอีกทีตอนกินอีกมื้อ (ห่างกันหลายชม.) ตอนแอร์เดินมาเสิร์ฟอาหารอีกรอบ กุเห็นผู้หญิงข้างๆ มันไม่กิน แถมดูรีบร้อนชอบกล

เลยหันหน้าไปมอง ทำหน้าแบบเห้ย แม่งต้องไรเป็นสักอย่าง คืออายุก็ประมาณ 25 26 อะ

กุถามว่าคุณต้องการเข้าห้องน้ำมั้ย... ดูท่าแกดีใจมากที่ถามเค้าแบบนั้น เลยรีบเดินไปห้องน้ำ

เค้ากลับมานั่งเสร็จ... กุบอกเค้าไปว่า นี่คุณ... คราวหน้าไม่ต้องเกรงใจนะครับ ถ้าต้องการเข้าห้องน้ำปลุกผมก็ได้

เค้าก็พยักหน้า เซย์ thank you ๆๆๆ สำเนียงญี่ปุ่น

จริงๆ แล้วกุนอนไม่ค่อยหลับหรอกบนเครื่อง แล้วกุค่อนข้างเห็นใจเค้านะ กุเคยเจอแบบนี้เหมือนกัน

ตอนขาไปเมกา กุบ้าจี้ไปกินเป๊ปซี่ เสร็จต่อด้วยเบียร์อีกสองป๋อง กะหลับยาวไปถึงนู่น ที่ไหนได้ ได้เรื่องเลย จะอ๊วก เวลานั่งเครื่องนั่งเบาะในแม่งออกลำบาก กุออกทีเลยไปยืนแช่ในห้องน้ำนานๆ แม่งเจือกไม่อ๊วก แต่มวนท้องชิบ

แล้วคนญี่ปุ่นน่ารักอีกอย่างเว้ย พวกที่แม่งเป็นหวัด มันจะใส่หน้ากากตลอด ทุกคน คือมันค่อนข้างแคร์คนรอบข้างมาก

ก่อนจะถึงนาริตะประมาณครึ่งชม. แอร์ก็มานั่งคู้ๆ ข้างๆ เอาสมุด เบอร์ติดต่อเกี่ยวกับเรื่องสะสมไมล์มาให้ครบถ้วน

แถมอธิบายละเอียดเชียว จริงๆ กุนึกว่ามันลืมไปละ น่าประทับใจดี

กุไปถึงญี่ปุ่นปุ๊บ พบว่ากุจองวันผิด ลืมคิดเรื่องคาบเกี่ยวของเวลา จองห้องพักเร็วไปวันนึง คิดว่าไม่เป็นไรมั้ง...

ไปแลกเงินเสร็จ โอ๊ว ได้มาราวๆ เจ็ด-แปดหมื่นเยน (ราวๆ 20,000 กว่าบาท) แล้วเอาเบอร์โทรโรงแรมมากดตามตู้สาธารณะในสนามบินนั่นแหละ

กดไปกดมา เห้ย... แม่งกดไงวะ ห่า... จิ้มนานเข้าๆ ต่อไม่ติดซะที จนกุเริ่มอายคนที่จะมาใช้ต่อ

ทำไงดีวะเนี่ย มาถึงก็ดึก ห้องพักก็ติดต่อไม่ได้.... กุเลยไปคุยกับพวกที่มันให้เช่าลีมูซีน กะรถทัวร์เข้าเมืองอธิบายไป

บอกผมติดต่อโรงแรมไม่ได้ แล้วผมก็มาช้าไปวันนึง เค้าเลยโทรให้ แล้วให้กุคุย ไอ Reception แม่งบอกคุณมาสายไปหนึ่งวันนะ

ถ้ายังต้องการจะเข้าพักอยู่ คุณต้องจ่ายค่าห้องพักของเมื่อวานด้วย T_T $60-$70 ได้มั้ง เสียดายหงะ

ด้วยความที่มีกระเป๋าใบโตๆ อยู่สองใบ แถมเป้สะพายอีกใบ กุก็ไม่รู้จะไปเดินหาโรงแรมยังไง เลยยอมจ่ายไป

นั่งรถทัวร์สามชั่วโมง ไปชินจูกุ เสร็จนั่ง Taxi ไปโรงแรม


Shinjuku ยามค่ำคืน

พบว่า TAXI ของญี่ปุ่น มี GPRS ทุกเครื่อง แถมมีใบเสร็จให้ทุกครั้ง แล้วเศษที่เหลือนิดๆหน่อยๆ ไม่กี่ร้อย กี่สิบเยน คนขับก็จะทอนทุกครั้ง (หรือคันเฉพาะคันที่ตูนั่งฟะ)

ถึงโรงแรมดึกๆ เจอ Reception ที่คุยด้วยเมื่อช่วงก่อนหน้านั้น เอากุญแจ กะบัตรเข้าห้องมา นั่งอ่าน rules ของโรงแรม

เอี้ย ทำกุญแจหายเจอปรับ 50,000 เยน ( ประมาณ 15,000 บาท ) เวลาไปไหนกุเลยไม่พกกุญแจไปด้วย ฝากไว้ที่ counter ทุกครั้ง (กุญแจแม่งก็ทรงประหล๊าด ประหลาด)

ลงมา Survey รอบๆ แถวที่พัก เจอร้านขายบะหมี่แบบชาวบ้านๆ  ด้วยความที่เห็นใน Series มามากมาย เลยเดินเข้าไป

พอมีคนเดินเข้าไปปุ๊ป พนักงานทั้งร้าน เข้าใจว่าเป็นครอบครัวเดียวกัน จะหันมาพูด 'อิรัสไชมะเซะ' กันทุกคน ไม่ว่าจะทำอะไรอยู่ก็ตาม

เมนูมันเป็นภาษาญี่ปุ่นหมด กุไม่รู้เลือกไรดี หิวๆ ด้วย เลยชี้ไปอันที่แพงสุด พันเยนนิดๆ ( คิดเป็นเงินไทยราวๆ 300 บาทได้ แพงนะนั่น )

แต่ค่าครองชีพที่นั่นมันก็ราวๆ นี้แหละ

ถามกุเอาเส้น อุด้ง กับไรอีกอันไม่รู้ กุเลยเอาอุด้ง เสิร์ฟมาชามบะเร่อ พร้อมกับน้ำเปล่าเย็นๆแก้วหนึ่ง มาเติมให้เรื่อยๆ

บางเครื่องปรุงแปลกๆ ก็ลองเหยาะๆ ชิมๆ ปรุงเน้นเผ็ดเป็นหลัก ตามแบบที่ตัวเองชอบ 555+

อร่อยดีเหมือนกัน กินหมดชาม น้ำซุปก็ซดจนหมด แกมาถามว่าอร่อยมั้ย กุตอบ โออิชิๆ พร้อมทั้งชูนิ้วโป้งให้ แกยิ้มแฉ่ง

พอลุกออกจากร้าน พนักงานในร้านก็พูดพร้อมๆ กันอีก แต่พูดว่าไรไม่รู้ ดูน่ารักดีอะ ให้ Service mind เต็มร้อย

เดินเข้าคล้ายๆ เซเว่นบ้านเราหยิบลูกอมมาถุง น้ำขวด ขนมอีกถุง หลายร้อยเยนเหมือนกัน

ขึ้นไปนั่งกินบนห้อง เห็นมีตู้ขายน้ำ กดเบียร์โลด อาซาฮีขนาดใหญ่สองป๋อง เหลือบไปเห็นไอตู้ข้างๆ

เป็นตู้ขายกับแกล้ม ! Amazing มาก สาด แม่งมีปลาหมึก อะไรแปลกๆ อีกหลายๆ อย่าง ไม่กล้ากดมาลอง

นั่งจิบเบียร์ ไม่หร่อยเลย สู้พวก Blue Moon , Coor Light , Amstel , หรือเบียร์บ้านๆ เราไม่ได้

กินไปป๋องนึงอีกป๋องแช่ในตู้ ลงไปเดินเล่นข้างล่างต่อ ระหว่างเดินไปลิฟท์เจอเครื่องอันนึง

ให้หยอดแบงค์พันเยน จะได้รีโมท... เอาไว้ดูหนังโป๊ เพิ่งมารู้เมื่อพักหลังจากนั้นหลายๆ วัน

แล้วในห้องมันจะมีหนังสือหนังโป๊อธิบายการใช้ไอรีโมทนั่นแหละ ไอ่รีโมทเนี่ยแม่งดูได้สองร้อยกว่าช่องมั้ง 55555555

ลงไปเดินเล่นข้างล่างยัง Survey ไม่ครบ เดินๆ ไปเจอร้านประมาณว่านั่งดริ๊ง

มีผู้หญิงแต่งชุดราตรีนั่งอยู่หน้าร้านประมาณสามสี่คน แต่ละคนหน้าตาจิ้มลิ้มทั้งนั้น แต่ไม่ได้คิดจะเข้าไป

หน้าร้านมีราคาเป็นชั่วโมงๆ แปะไว้ อ่านไม่ออก ดูแต่ตัวเลข หลายพัน - หลายหมื่นเยนอยู่ แต่ไม่ได้สนใจไรมาก

สำรวจแถบๆ นั้นจนครบ เจอสถานที่สำคัญๆ ครบหมดละ พวก Subway , ร้านขายของ , อาหาร , เดินไปดูห้างมัน

ดูเสร็จก็กลับขึ้นมาอาบน้ำ เอาชุดยูกาตะมาใส่ นอนแช่อ่างอาบน้ำ จิบเบียร์อีกป๋องที่เหลือ หลับยันเช้า

... ไว้ค่อยต่อตอน 2

เลือกคู่อย่างไรจึงจะมีความสุขมากที่สุด

บทความนี้เขียนไว้นานละ แต่อยากเอามาแปะใน blog อีกที

เวลาเพื่อนๆ เก่าๆ นานๆ มาเจอกันสักที ก็ชอบคำถามเด็ด ที่ถามกุคิดว่าส่วนใหญ่ก็เพราะ

1. อยากรู้เรื่องคนอื่น
2. ไม่มีอะไรจะคุย ... มันเลยยกคำถามทั่วๆไปสัพเพเหระมาถาม เช่น ช่วงนี้ทำอะไร เป็นยังไง มีแฟนยัง ฯลฯ
ถ้าคิดในแง่ดีก็อาจจะถามไปตามมารยาท

โดยส่วนตัวคิดว่าการที่เมิงมีความสุขอยู่แล้ว แล้วรับคนอีกคนหนึ่งเข้ามาเป็นเรื่องที่มีความเสี่ยง โดยเฉพาะอีกคนที่กำลังกระหายความรัก หรือ เหงาบ้าง อยากมีเพื่อนคุยบ้าง อะไรทำนองนั้น มันเลยเป็นเรื่องที่มีความเสี่ยง เพราะเค้าก็หวังที่จะพึ่งหรือได้รับความสุขจากอีกฝ่าย

ทีนี้การที่จะเสี่ยงทั้งที ก็ต้องมาดูว่าเสี่ยงยังไงให้น้อยที่สุด คือ เลือกยังไงนั่นเอง ว่าคนที่เข้ามา ไม่ว่าชั่วคราว หรือ นานๆ จนเป็นครอบครัวก็ตามที มันก็เป็นเรื่องที่มีความเสี่ยงทั้งนั้น

ที่กล่าวเช่นนี้เพราะอะไร เช่น เมิงมีแฟนคบกันมาเดือนสองเดือนแล้วเลิกกัน บางทีเมิงปวดร้าวใจไปเป็นปี ยิ่งการเลือกคู่ที่จะมาเป็นคู่ชีวิต มันก็ต้องดูกันนานๆ เพราะเค้าจะอยู่กับเราไปในระยะเวลาพอสมควร เช่น 10 ปี 20 ปี ก็แล้วแต่บุญพาวาสนาส่ง และการกระทำที่สร้างความรู้สึกดีๆ ระหว่างคนสองคน

การเลือกคู่แบบใดจึงจะขัดแย้งน้อยที่สุด ?

จริงๆ แล้วถ้าการที่คนสองคนจะมาคู่กัน มันต้องมีอะไรคล้ายๆ กัน ชอบอะไรเหมือนๆ กัน กุไม่ได้อุปมาว่าชอบอะไรเหมือนกันซะทุกๆ อย่าง บางคนชอบบอกว่า กุชอบความแตกต่าง มาเติมเต็มสิ่งที่กุขาด ฟังละตลก เพราะ คนเรามันแตกต่างกันโดยธรรมชาติอยู่แล้ว

ทีนี้ถ้าเมิงแตกต่าง มาดูข้อหลักทั่วๆ ไป ใหญ่ๆ 4 ข้อ

1. ข้อปฎิบัติ

ข้อปฎิบัติ ก็คือ ธรรมเนียมทั่วๆ ไป การรู้จักกาละเทศะอะไรควรทำก่อนทำหลัง ควรให้เกียรติอีกฝ่ายอย่างไร อีกคนรู้จักวางตัวอย่างไร ทีนี้มาพูดเรื่องศีล คือกุจะกล่าวโดยย่อๆ จริงๆ แล้วศีลก็คือข้อปฎิบัติ แต่ทีนี้พูดศีลไป พวกเมิงก็จะร้อง ยี้ กัน อ่านต่อไปละก็จะพอเข้าใจ ถ้าคิดอย่างเป็นกลาง

ฝ่ายหนึ่งรักสัตว์ อีกฝ่ายชอบรังแกสัตว์
ฝ่ายหนึ่งชอบขโมยของ อีกฝ่ายไม่
ฝ่ายหนึ่งรักเดียวใจเดียว อีกฝ่าย รักคนเดียวชอบหลายคน เลยอาจจะคบไว้เผื่อเลือก หรือมองคนอื่นเวลาอยู่ด้วยกันเพื่อให้คู่หึงหวง
ฝ่ายหนึ่งโกหกเป็นอาจิณ อีกฝ่าย พูดแต่คำจริง
ฝ่ายหนึ่งแดรกสุราเป็นนิตย์ อีกฝ่ายไม่ชอบของมึนเมา

ไอความแตกต่างเหล่านี้มันจะส่งผลทั้งเรื่องทั้ง กาย วาจา ใจ ซึ่งจำแนกย่อยๆ ก็จะออกเป็น การใช้ชีวิตในสังคม สังคมเพื่อนฝูง การพูดจา ทัศนคติ การวางตัว การให้เกียรติ การรู้จักว่าอะไรควรอะไรไม่ควร

ซึ่งโดยส่วนมากยิ่งแตกต่างแม่งก็จะยิ่งทะเลาะกัน ให้ลองอุปมาแบบสุดโต่งเลยนะ
ว่าการที่คนสองคนชอบอะไรเหมือนกันทุกอย่างเลย
ส่วนอีกคู่ แตกต่างกันไปทุกเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นความคิด การกระทำอะไรก็แล้วแต่
คิดดูว่าคู่ไหนมันน่าจะไปได้นานกว่ากัน ??

2. ศรัทธา

คือมีศรัทธาไปในทางเดียวกัน เช่น ฝ่ายหนึ่งเชื่อเรื่องกฎแห่งกรรม อีกฝ่ายไม่เห็นว่าจะเป็นความจริงแต่อย่างใด
ศรัทธาไม่ตรงกันก็คุยเรื่องไม่ตรงกัน เมื่อคุยเรื่องไม่ตรงกันก็คุยกันได้ไม่นาน เมื่อคุยกันได้ไม่นานก็เบื่อกันเร็ว

3. ปัญญา

คือคุยกันเรื่องทั่วๆ ไป รู้เรื่อง ตามกันทันในเรื่องทั่วๆไป ถ้าปัญญาของคู่มันแตกต่างกันมากๆ มันจะเกิดอาการที่เรียกว่า look down คือการดูถูก ต่ออีกฝ่ายไม่ชั่ววูบใดก็ชั่ววูบหนึ่ง

ฝ่ายหนึ่งคิดก่อนทำ อีกฝ่่ายทำก่อนคิด อีกฝ่ายใช้สติไต่ตรองก่อนค่อยพูด อีกฝ่ายนำอารมณ์มาพูด

ปัญญานี้ดูกันไม่ยาก โทรคุยกัน ไปเดทกัน เวลาคุย / เดท / มันก็จะมีประเด็นเรื่องอื่นๆ มาให้คุย
เวลาคุยคนส่วนใหญ่ก็ชอบจะแสดงทัศนคติตามที่แม่งรับรู้มาใส่ลงไปในเรื่องที่พูดคุยด้วย
จริงๆ กุว่าดูไม่ยากหรอก ถ้าปัญญามันทันกันคุยอะไรไปมันก็แฮปปี้ได้ทุกเรื่องอะ

4. เสียสละ

ดูง่ายๆ เช่นในเรื่องเหตุการณ์อันใกล้นี้ อีกฝ่ายหนึ่งอยากมีความคิดที่จะช่วยทำความสะอาดบ้านเมือง อีกฝ่ายเห็นเป็นเรื่องตลก บอกปล่อยให้เป็นหน้าที่ของๆ พนักงานทำความสะอาดเค้าไป

หรือพูดอีกนัยหนึ่งคืออีกฝ่ายชอบทำบุญ ทำทาน ช่วยเหลือผู้อื่น อีกฝ่ายเห็นเป็นเรื่องไร้สาระ แถมยังคอยขัดคอยแย้ง

การดูสี่ข้อนี้จริงๆ มันเป็นเรื่องที่ต้องใช้ระยะเวลาหน่อย แต่ก็ไม่นานนัก


โดยส่วนตัวถ้ากุมองสี่ข้อนี้แล้วมันผิดแผกแตกต่างกันมากๆ ถึงแม้ว่าจะสวยระดับห้าดาวขั้นเทพ ก็ขอเซย์กู๊ดบายดีก่า
แต่กุคิดว่าถ้ามีสัญญากรรมต่อกันจริงๆ ยังไงก็ต้องมาเจอกันอยู่ดี...
( ปล. สัญญากรรมนี้หมาย ทั้งกรรมดี และ กรรมชั่ว ที่เคยทำร่วมกันมา )
เคยมั้ย ที่เห็นปุ๊ปแล้วเธอก็ไม่ได้สวยอะไรมากมาย แต่โคตรรู้สึกผูกพัน เหมือนเคยรู้จักกันมาก่อน
เอาไว้ค่อยเขียนแยกเป็นอีก note อะไรทำนองเกี่ยวกับทำนองนี้ละกัน

วันอาทิตย์ที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2553

Asset Management 1

เมื่อตอนเรียนจบ คนที่จบด้วยเกียรตินิยมอันดับ 1 ย่อมเป็นที่ถูกคาดหวังของคนรอบข้างไม่มากก็น้อย

เช่นเมิงไปทำงานอะไร นู่นนี่ที่ไหน อะไรยังไง

ส่วนตัวกุไม่ค่อยแคร์สังคมรอบข้างเท่าไหร่ กุเฉยๆ แถมเงินเดือนการทำงานประจำแลดูไม่ค่อยน่าสนใจเท่าไหร่นัก

คิดไว้ก่อนจบว่าอยากมีเวลาว่างๆ สักปี ไม่ก็สักหกเดือน ให้ได้ศึกษาเรื่องที่อยากทำ

กุเลยไม่หางาน แต่ใช้เวลาไปกับการนั่งอ่านภาษาอังกฤษ + ศึกษาวิปัสสนาแทน แต่ก็ยังไม่ค่อยมีแรงจูงใจ

เวลาส่วนมากกุเลยใช้ไปกับการนอนคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย น่าเบื่อเหมือนกันช่วงนั้น
คนรอบข้างไม่ว่าจะเพื่อน ญาติ ถาม ทำไมไม่ไปทำงาน ถามบ่อยๆ เข้ากุก็เริ่มรำคาญ คิดในใจ "มายุ่งอะไรกะกุวะเนี่ย"

วันนั้นนั่งจัดหนังสือ ไปเจอชีทที่เล่นทฤษฎีเกมตอนเรียน

กุชอบบรรยากาศการเล่นเกมแบบนั้นมาก กุชอบวิเคราะห์ วางแผน และก็จัดสิ่งที่เหมาะสมเพื่อให้แผนบรรลุ

แหม เวลาเห็นแผนตัวเองที่วางไว้มันค่อยๆ เดินหน้าทำ progress วิ่งไปเรื่อยๆ เป็นที่ถูกอกถูกใจนัก

ก่อนที่จะเริ่มแข่งเกม โดยใช้ระยะเวลา 4 Quarter ตามหน่วยเกม แต่เล่นจริงๆ ใช้เวลาสี่สัปดาห์
อาจารย์เกริ่นเกมแบบคร่าวๆ เป็นเกมจำลองคล้ายๆ บริษัทขายผลิตภัณฑ์สองชิ้น ต้องทำหลายๆอย่าง

ตั้งแต่ ตั้งราคา คุมต้นทุนการผลิต สั่งซื้อวัตถุดิบ คิดค่าคงคลัง ลงทุนบุคลากร จ้างงาน สั่งให้พักงาน ค่าโฆษณา ซื้อข้อมูลคู่แข่ง จัดทำงบ แล้วเอาผลตอบแทนแข่งกับกลุ่มอื่นๆ ทั้งห้อง ราวๆ 10 บริษัท

แกทิ้งท้ายไว้ว่า ถ้าใครคนไหนบ้าจี้ ทะลึ่งไปซื้อข้อมูลคู่แข่งหมดเลยนี่ เป็นไง...เจ๊งแน่ (เนื่องจาก Cost ค่อนข้างแพง )

กุมานั่งวิเคราะห์ดู เอ... มันไม่น่าจะเป็นอย่างที่ว่า กุลองคิดคร่าวๆ ดู ถ้ารู้ข้อมูล จะสามารถวางกลยุทธล่วงหน้าไปได้อีกสอง-สามไตรมาส

เลยทำตรงข้ามกะที่แกชี้แนะซะ ซื้อแม่งเกือบหมดนั่นแหละ ผลน่ะหรือ... กุก็เต็ง 1 ไปจนจบ Q4 นั่นแหละ

จนอาจารย์ผู้สอน ผศ. ไพรินทร์ อยากให้ไปบรรยายแนวคิดให้ห้องอื่นๆ ที่เรียนกะแกฟังด้วย ...พอดีกุติดไปตจว พอดี

นั่งคิดไปคิดมา มีธุรกิจอะไรที่มันสนุกๆแบบนี้ ให้กุได้จับมั่งไหมหว่า...

จริงๆ กุจบด้านคอมมา แต่กุไม่ชอบเลย ให้ตายเหอะ... กุชอบนั่งอยู่หน้าคอมอ่านอะไรที่กุชอบ ฟังเพลงสบายๆ ก็เท่านั้น เป็นเหตุผลให้กุเลือกเรียนคอม...

นั่งคิดๆๆๆ จนปิ๊งว่า บริษัทที่มันเข้าตลาดหลักทรัพย์มันก็ต้องเผยแพร่งบแบบนี้เหมือนกัน

เลยไปศึกษาเรื่องหุ้น  พบว่าตัวแปรแม่งเยอะกว่ามาก แถมมีจิตวิทยาเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยในเรื่องของราคาหุ้น และก็ความคาดหวัง กับการรับรู้ นี่แหละความมันส์ของการแข่งขัน !

เริ่มแรกเล่นพอร์ตจำลองก่อน แต่ยังไม่มีแรงจูงใจ เลือกหุ้นสักตัว ซื้อทิ้งไว้ แล้วก็ลืมไปเลย

จากนั้น 15-20 วันมาดู เห้ย NAV (ผลตอบแทนจากเงินลงทุน100%) เพิ่มขึ้น 20%

แต่พอร์ตจำลองย่อมไม่มีแรงดึงดูดทางใจเท่าไหร่นัก พอดีมีการจัดแข่งขันระดับมหาลัยทั่วประเทศ ปริญญาตรี กะ โท ขึ้นไป

พอดีกุเรียนจบแล้ว เลยให้เพื่อนสมัครแทน แล้วกุเป็นกุนซือคุมพอร์ต

วันไหนตลาดเปิดนี่มีความสุข นั่งดูราคา นั่งดูการจัดอันดับตอนตลาดปิดรายวัน

เล่นๆ ไปก็ค่อยๆ ศึกษาไป วันไหนตลาดเปิดจะดี้ด้ามาก วันไหนตลาดปิดนี่เบื๊อ เบื่อ...

ยิ่งช่วงท้ายๆ เดือน ใกล้จะจบการแข่งขันนี่ลุ้นโคตร ในที่สุดก็กวาดมาสามรางวัล

เป็นคนเดียวที่กวาดรางวัลมาเยอะสุดในระดับมหาวิทยาลัยของประเทศ


รูปโล่รางวัลจากตลาดหลักทรัพย์


ถึงขนาดนั้นก็ยังมีกลุ่มที่ทำตัวเป็นผู้หวังดี ที่กุไม่ได้ชอบเล้ย มาถามเรื่องทำงาน ทำไมไม่หางานทำล่ะ ทำไมไม่... ทำไม ทำไม ทำไม

เฮ้อ... เบื่อจริงๆ ช่วงนั้น

กุเลยถามกลับ ทำงานประจำไปแล้วเมื่อไหร่จะรวย เดี๋ยวจะทำเงินอย่างน้อย 9-10 หลักภายในสิบปีนี่แหละ ให้ดู

ตามประสาคนทั่วไป แน่นอน ได้รับการดูถูกมาเช่นเคย

กุก็เริ่มลงทุน รวมทั้งเข้าแข่งขันระดับประเทศด้วยในเดือนต่อมา เริ่มศึกษาอนุพันธ์

กุนั่งไล่ดูผลตอบแทนย้อนหลัง หลายๆ เดือนของแชมป์ที่ผ่านมาในการแข่งขัน

พบว่าหุ้นนี่อย่างเก่งก็ NAV 1xx% ในหนึ่งเดือน(นี่หมายความว่าเมิงโคตร Jackpot เลยนะ) แต่พบว่าพวกที่เล่นอนุพันธ์สามารถทำผลตอบแทนได้ มากกว่า 150-200% ในหนึ่งเดือนบ่อยๆ บางทีก็ขึ้นไป 600%++

เลยนั่งศึกษาอนุพันธ์ ละก็ลงแข่ง พบว่าง่ายกว่าหุ้น แต่มีความเสี่ยงมากกว่าพอสมควร กุจึงคิดวิธีการ Hedge ในสไตล์ของกุขึ้นมา

(Hedge คือการป้องกันความเสี่ยงอย่างหนึ่ง)

จบการแข่งขันเดือนนั้นชนะมาทั้งหมด 11 รางวัลเรียกได้ว่าแทบทุก Broker ใหญ่ๆ ของประเทศ
(รวมชนะหุ้นทั้งหมด 4 รางวัล อีก 10 เป็น TFEX เนื่องจากหุ้นมีให้เลือกลงทุน 500 ตัว โอกาสที่ชนะลงถูกตัว และถูกจังหวะเวลา อีกหลายๆปัจจัย กะค่อนข้างยากกว่า TFEX)

กุจึงเพิ่มหนทางที่ต้องการจะเป็น Specialist ขึ้นมาอีกทาง คือ Investor

ภายในไม่กี่เดือนกุก็สามารถทำเงินได้หกหลัก พวกคนที่ทำตัวเป็นผู้หวังดีทั้งหลายก็เริ่มไม่มาจุ้นกะกุ

แถมมาถามเรื่องการลงทุนกุอีก เฮ้อ อะไรก็เปลี่ยนแปลงได้เนอะ... แถมเร็วเสียอีก ห่า
กุค่อนข้างมั่นใจว่าถ้ารู้ลึกเรื่องตลาดหุ้น กับ อนุพันธ์จะสามารถโกยเงินจากตลาดไม่มีวันสิ้นสุด

ทำไมกุถึงมั่นใจอย่างนั้น

เหตุผลข้อแรกคือ กุเชื่อว่าทุกตลาดในโลกเป็นแบบ Market Imperfection ทั้งหมด นั่นคือ ราคาที่ปรากฎอยู่ในตลาดต่างๆไม่สอดคล้องกัน

นั่นเป็นโอกาสที่จะทำเงินจากตลาดได้อยู่เสมอๆ

เช่นการทำ Arbitrage  อธิบายแบบง่ายๆ
ไข่ราคา 3 บาท
มะนาวราคา 5 บาท
แต่มีคนรับ ซื้อไข่ โดยเค้าบอกว่า มะนาว 1 ลูก แลกไข่ได้ 2 ใบ
คุณก็ไปซื้อ มะนาว มา 5 บาท
แลกไข่มา 2 ใบ
กำไรหนึ่งบาทเห็นๆ
แต่ในตลาดหุ้นมันเร็วและก็มีตัวหุ้นหรือสัญญาต่างๆให้เลือกมากกว่านั้นแยะ แถมไม่ต้องตกลงเจรจานอกบ้าน เคาะผ่านเน็ตเอา

( แต่จริงๆ มันก็มีข้อที่ควรระวังอีกเยอะนะ เจอพวกเล่นแร่แปรธาตุงบการเงิน หรือกับดักอื่นๆ )

ไปสอนบางคน มันบอกทุนน้อย

ทุนน้อย ทุนเยอะ ไม่ว่ากัน ตลาดนี้ความรู้ให้มีเหนือทุนไว้รับรองได้กำไร ถ้าความรู้ต่ำกว่าทุน เดี๋ยวธรรมชาติก็จะจัดสรรให้มันเหมาะสมกันเอง ฮ่าๆ
เห็นคนหลายๆคน มีเงินเย็น แต่ใจร้อน เงินมันก็เลยร้อน เล่นแบบร้อนๆ ก็นะ นอนไม่หลับ... แถมเครียดอีก
ตอน 2 ค่อยไปเขียนต่อใน FB ดีก่า..
------

ทุกวันนี้กุตื่น 8-9 โมงเช้า อ่านหนังสือพิมพ์ efinance 1 ฉบับ
ลงไปกินข้าว ล้างหน้าแปรงฟัน แล้วก็มาอ่านบทวิเคราะห์พวก broker

พอดีกับตลาดเปิดพอดี 10-10.30 ระหว่างตลาดเปิดก็อ่านข้อมูลอื่นๆไปเรื่อยๆ ไปจนเที่ยงครึ่ง ไปพักสายตาซะงีบ

บ่ายสองครึ่งมาดูต่อ ฟังเพลง อ่านบทความ research webboard จนตลาดปิดสี่โมงครึ่ง ห้าโมง

เย็นๆ ก็ออกไปหาข้าวกิน

ค่ำๆ ก็สวดมนต์ วิปัสสนา เสร็จ อ่านนู่นๆ นี่ๆ สักหน่อย เล่น facebook เล่นเกมบ้าง แล้วก็นอน...

เสาร์ อาทิตย์ก็สบายๆ ไปเดินเล่น ไม่ก็อยู่บ้าน ซื้อหนังสือมาอ่าน อยู่กับครอบครัว ดูหนัง ฟังเพลง

สบายยยยยยยย
--------







วันเสาร์ที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2553

Six Flags , New Jersey

ตอนไปเที่ยวเมกา นั่งเปิดเว็บหาที่เที่ยวไปเรื่อยๆ ใกล้ๆ ระแวกนั้น เห็นว่าใกล้ๆ มี Six Flags สวนสนุก ติดอันดับโลกอยู่

ว่างๆ เลยขอวัน day off หยุดทำงานไปเที่ยวกะไอเต้ โดยมีลุงอ้วน Ronny ขับรถพาไปส่ง

ก่อนไปก็เลือกเลย ตั๋วแบบไหนดี คิดว่าอยากไปเล่นหลายๆ รอบ เลยเลือกบัตรแบบ Season Pass ไป $99 ไปกี่ครั้งก็ได้ในสองสามเดือน เลือกจ่ายตังผ่าน Debit... ปริ๊น ลุย

ไปแต่เช้าตรู่เพิ่งเปิดสวนเลย นัดแนะกะลุงอ้วนรอนนี่ บอกให้แกมารับตรงนี้ตอนประมาณหกโมง หรือทุ่มนึงจำไม่ได้

เสร็จแกก็ขับรถกลับ ก็เข้าไปทำบัตรแข็ง ถ่ายรูป หัวฟูๆ เลยตอนนั้น ไอบัตรนั้นยังเก็บไว้อยู่ ฮามาก




ทำบัตรเสร็จก็รีบไปต่อคิว Superman ต่ออยู่ชั่วโมงครึ่ง.... เล่นจริงๆ ไม่เกินสี่นาทีจบ... สาด อันอื่นๆ ก็เช่นกัน ต่อสองชั่วโมงบ้าง ชั่วโมงบ้าง อุปมาเหมือนเยี่ยวไม่สุด... มันค้างๆ คาๆ อารมณ์ความสนุกมันไม่ต่อเนื่อง

เดินเล่นในสวนสนุกพบว่า เด็กไทยไปทำงานที่นั่นพอสมควร 

เล่าท้าวความนิด คือเด็กไทยถ้าเจอกันเมืองนอกนี่จะแหล่มมาก ประมาณว่าซื้อหนึ่งได้ถึงสอง เช่นซื้อแฮมก้อน จะได้สองก้อน ซื้อเฟรนฟรายเล็ก ได้ใหญ่ แถมนักเก็ต หรืออะไรอีกก็ว่าไป 555+

ตอนไปนั่งเจอเด็กไทยคุม โกคาร์ทอยู่ เล่นนี่ต้องเสียคนละ $5 มั้ง คนไทยบอกมาเล่นเลยๆ ไม่ต้องบัตร

แหล่มเลย ขี่รถกะไอเต้ไปสองรอบ เปรม เสร็จ ไปซื้อน้ำ คนไทยบอกให้ฟรี โอ๊ววว

ไอเต้ไปชู๊ตบาสต่อ ชู๊ทไม่ลง แต่ได้ตุ๊กตา 55555

แต่เด็กไทยที่ทำงานที่นู่นบ่นกันเกือบทุกคนว่างานน่าเบื่อ ก็ดูท่าคงจะจริง วันๆ พูดอยู่ประโยคเดียว "Enjoy your rideeee"

ฮ่าๆ ตอนกุทำงานก็พูดอยู่ไม่กี่ประโยคเหมือนกัน "Can I help you?" "May I help you?" "U want anything on it?" "Anything Else?" "Something to drink?" วนลูป (คือHot Dog นี่นั่นมันจะมีราด Cheese , Chili , เซาคร่า เขียนไงไม่รู้ เป็นผักดองเปรี้ยวๆ อร่อยดี" ยกเว้นตอนที่ทำงาน Second Job

พอเย็นๆ ก็ออกไปข้างนอก รอลุงอ้วนมารับกลับ กลับบ้าน กินข้าว นอน หลังจากนั้นก่อนกลับเมืองไทยก็ไปอีกรอบ ก่อนกลับ ต่อคิวยาวเหมือนเดิม ไม่มันส์ สรุป ไป 2 รอบ แม่งไม่น่าซื้อ Season Pass เลย ให้ตายสิโรบิ้น...

..
...
....

ไปปีสอง ไปรัฐ New Jersey เหมือนเดิม แต่คราวนี้ไปกะเชน เชาว์ ไข่ ทำงาน Borgata Casino Hotel & Spa

กะว่าปีนี้ไงๆ กุก็ไม่ไปละ Six Flags เบื่อ.... ไอพวกนั้นรบเร้าอยากไป... "ไม่ไปโว๊ยยยยยย" ตอบไปหลายๆ ครั้ง

มันก็รบเร้าทุกครั้ง ไหนๆ ก็ไหนๆ ไปก็ไปวะ แต่มีข้อแม้.... เมิงต้องซื้อ Golden Flash Pass หรือที่กุเรียกว่า "บัตรเบ่ง"

เข้าไปดูใน Employee Benefits มีส่วนลด 10% พอดี จัดโลด คนละ $45 เองมั้ง จ่ายตัง...ปริ๊น... ตาม Step

นัดวัน Day off พร้อมๆ กันสี่คน ออกจากบ้านแต่เช้าตรู่ เพราะต้องไปขึ้นรถต่ออีกราวๆ สองชั่วโมงครึ่ง

คือต้องนั่ง 501 Brigantine > ต่อ Grey Hound > ต่อรถอีกสองต่อ > ถึง Six Flags

แล้ว 501 Brigantine คือรถประจำเมืองเล็กๆ นี่ ชั่วโมงนึงมาคันนึง ขึ้นรถเสร็จ...นั่งคุยกันสักพัก

กุ : เอ้ย พวกเมิงเตรียมเอกสารกันมาครบนะ

ไอไข่รีบเช็ค : เชี่ยยยยยย กุลืมที่ปริ๊นไว้บนโต๊ะ

รีบกลับไปบ้าน ทำไงดีวะๆ รออีกชั่วโมง ไอเชาว์โชว์ไหวพริบ จำเบอร์เรียก Taxi ได้สมมุติ 1900 - 235 - TAXI

คือที่นู่นใช้เบอร์แบบนี้เกือบหมด เช่น 1900 777 PIZZA คือเคยสังเกตุกันมั้ยว่าตัวที่จิ้มๆ ในโทรสับมันจะมีอังกฤษประกอบด้วยอยู่ ก็ตัวษรมันอยู่อันไหนก็จิ้มอันนั้นเอา

โทรเรียก TAXI มารับที่บ้าน โดนไป $18 มั้งถ้าจำไม่ผิด แล้วก็ต่อ Greyhound หรือที่เรียกกันว่า รถหมานั่นเอง




นั่งไปสองชั่วโมง แล้วต้องต่อรถอีกครั้ง จากนั้นค่อยนั่งรถของสวนสนุกเข้าไป พบว่ารถมีแต่ขาไป...ไม่มีขากลับ!!!

เป็นเรื่องครับ เป็นเรื่อง เอาไงดีวะๆ นั่งคิดอยู่ครึ่งชม. สุดท้ายด้วยความฉลาดของข้าพเจ้า ฮ่าๆ ขอโม้หน่อย

ในเมื่อคิดในกรอบแล้วมันติดขัด ก็ต้องคิดนอกกรอบ ดูเที่ยวรถยาวไปถึงอีกรัฐ สรุปคือต้องนั่งไปแล้วค่อยนั่งวนกลับมา New Jersey ไม่งั้นไม่มีรถกลับจริงๆ อะ

คิดได้โล่ง... เริ่มมีอารมณ์เที่ยวกลับมาต่อ

ถึงนู่นปุ๊ป แจกใบปริ๊นคนละใบ แยกกันแสกน Barcode เข้าไปในสวนสนุก นัดแนะเจอกันด้านใน

ไอไข่ทำอิท่าไหนไม่รู้ เจอยึดใบ Barcode แล้วไม่ได้คืน เข้าไม่ได้.... ด้วยความรอบคอบของข้าพเจ้าอีกครั้ง 555+

ดีนะปริ๊นมาสองใบ ไอไข่เลยรอดตัวมา ณ ฉะนี้

ไปถึงเข้าไปแลกบัตรเบ่งมาทันที แต่มันไม่ใช่บัตร แต่เป็นคล้ายๆ ตัวดิจิมอน แล้วเลือกเครื่องเล่นเอาในนั้น มันจะทำการจอง Online

แล้วพอไปถึงเครื่องเล่นอันนั้นก็ไปจิ้มเหมือนต่อสู้ดิจิมอนอะ พอมัน Matched กันก็เล่น

ทีนี้ล่ะเมิง ไอที่เคยคอยสองชั่วโมง กลายเป็นเหลือแค่ 2-4 นาทีโดยประมาณ แถมพอเล่นเสร็จ ลงมาเล่นต่อได้เลย

เจ๋งมั้ยหล่ะ ~

เริ่มจากใกล้สุด และก็ต่อคิวนานสุดก่อน แท่น แท๊น แท๊นนนน




บัตรแม่งเทพมาก ลงปุ๊ป เข้าทาง Exit ปั๊บเล่นต่อได้ พวกที่ต่อคิวมองสายตาประมาณว่า เห้ย! ไอพวกนี้กุต่อคิวซะตั้งนาน Superman เวลานั่งมันคล้ายๆ ท่าบิน เวลาบินตีลังกาตามรูปที เสียวท้องดี






เสร็จจาก Superman ก็ต่อด้วย Batman เครื่องเล่นนี้รางมันไม่มีวนลูปกลับมาที่เดิม คือมันเป็นเส้นเดียว พอสุดปลายทาง รางมันสูงๆ ขึ้นไปบนฟ้า แล้วหยุดแค่นั้น เหมือนประมาณว่ารางขาด... พอไปสุดรางปุ๊ป... แม่งเด้งกลับหลัง เสียวแบบแปลกๆ เหมือนกัน แต่โคตรปวดคอเลยตอนมันกระแทก




เล่น Dark Knight ต่อ เครื่องเล่นใหม่ของปีนั้น ภายในเป็นแบบมืดๆ มองไม่เห็นราง ก่อนทางเจ้าจะมีจอตามรูป พอเอาหน้าเข้าไปใกล้ๆ มันจะใส่หน้ากาก Joker ให้อัตโนมัติ  พอออกเลื่อนไปด้วยความที่ไม่เห็นราง จะมีไฟกระพริบบอก Left แต่มันเลี้ยว Right  โชว์ Up แต่ Down เจ๋งดีเหมือนกัน


El Toro เครื่องเล่นที่เสียวที่สุด ไปเล่นปีแรก เด็กไทยถาม อยากเล่นแบบเสียวๆ ป่ะครับ 'ยังไง' 'ที่ล๊อคกดเบาๆ ก็พอคับ' ดีนะ...ไม่เชื่อมัน ตูกดล๊อคแบบแน่นสุดเท่าที่จะแน่นได้เลยเครื่องค่อยๆ ไต่แบบช้าๆ จนสูงที่สุด แล้วลงแบบสุดๆ เร็วมากๆ สร้อย เส้ย นี่จะปลิวเอา




ต่อด้วย Kingda Ka ไอเครื่องเล่นนี้ไม่วกวนเหมือนอันอื่นๆ แต่วิ่งตรงๆ และสูงๆ (โคตรสูงงง) แล้วลงแบบแนวดิ่ง 90 องศา แล้วเวลาออกตัวจะไม่ช้าๆเหมือนอันอื่น มันออกแบบพุ่งเหมือนติดเจ็ทอะ แต่พอเล่นจริงๆ กลับไม่ค่อยเสียวแฮะ ห่า... ปีแรกต่อคิวชั่วโมงครึ่ง ปีนี้ประมาณห้านาที



ด้วยความที่ต้องการเล่นเครื่องเล่นประเภท Thriller ให้ครบ เลยมาต่อที่ Medusa อันนี้วกไปวนมา แกว่งตรีนเพลินหงะ
จัดไปสองรอบ จบนี่หาที่เจี้ยะปึ่ง กินข้าว ท้องอิ่มแล้วค่อยไปเล่นแบบชิลๆ ต่อ


อิ่มแล้วก็ไปนั่งสบายๆ ผ่อนคลาย อันนี้ไม่ค่อยมีไร หมุนๆ ล่องน้ำไปเรื่อยๆ แต่กุชอบนะ


เสร็จจากน้ำๆ เล่น Water Splash ต่อ อันนี้แม่งสะใจโคตรรร
ตอนลงมานี่จะกระแทกน้ำแล้วน้ำมันจะพุ่งขึ้นเหมือนคลื่นยักษ์ สวยงามมาก
เปียกทั้งตัวอะ เสร็จไปยืนตรงสะพานรอคลื่นมันมาอีกรอบตอนขาออก... เปียกแต่สุข ฮ่าๆ



ตัวเปียกๆ ก็หาไรแรงๆ เล่นๆ ลมดีๆ ทำให้เสื้อผ้าแห้ง ไปเล่นไวกิ้ง หรือ Twister นั่นเอง
แกว่งๆ สามสี่ตลบ เพลิน จัดไปสองรอบ ลงมามึน

แล้วก็ต่อด้วย American Scream , ไอหมุนๆ ไม่รู้ชื่อไร , เล่นอย่างอื่นๆ จนครบหมด เย็นๆ
เข้าไปดู Sponge Bob แบบสี่มิติรอบนึง หกโมงเย็น ฟ้าเริ่มมืด

แต่ก็เล่นเครื่องเล่นครบหมดแล้ว เลยกลับบ้านดีกว่า ต้องนั่งรถต่ออีกยาวๆ
กลับถึงบ้านเกือบเที่ยงคืนได้มั้ง ไปกิน Great Wall ร้านอาหมวยจีนน่ารักๆ สักชามก่อนงีบ
แล้วก็กลับมานอน... ฟี้ ~~~

***ทำให้กุได้ข้อคิดได้ว่า เวลาไปเที่ยวไหน ให้ซื้อบัตรที่แหล่มที่สุดเท่าน้านน***
เที่ยวทั้งที เอาให้ดีและคุ้ม ต้อง 'บัตรเบ่ง!'