ชายหนุ่มจากเมืองไทยหิ้วกระเป๋าใบเขื่องสองใบโตๆ สะพายเป้อีกใบไว้ข้างหลัง เสียบหูฟัง ลากกระเป๋าดังครืดๆ ไปยังช่องขาเข้า
เพื่อเข้าดินแดนแห่งเทคโนโลยี ที่เรียกกันว่า 'ญี่ปุ่น' หรือ 'ดินแดนปลาดิบ'
ย้อนกลับไปเมื่อก่อนหน้านั้นก่อนที่โครงการ Work and Travel เมื่อราวๆ สองสามปีก่อนจะเริ่มต้นขึ้น ซึ่งเป็นเรื่องราวของทั้งหมด
นัดแนะกันสี่คนว่าหลังจากทำงานที่เมกาเสร็จ จะไป Stop Over ที่ญี่ปุ่นสักอาทิตย์ เลยจัดการเปลี่ยนสายการบินจาก China Airlines เป็น ANA
พอไปถึงเมกาสักพัก พวกมันดันเปลี่ยนใจ เปลี่ยน Flight กลับเมืองไทยกันหมด มีเหตุผลต่างๆ กันไป
ไอเชาว์คิดถึงเมีย ไอเชนแม่ไม่สบาย ไอไข่ไม่รู้มัน...
สรุปเหลือกุคนเดียวที่ยังยืนหยัดว่ายังจะไป และ 'อยากไป' ญี่ปุ่นอยู่
หลังเลิกงานจากโรงแรมแล้วก็จะนั่งเล่นเน็ตหาแหล่งท่องเที่ยว ที่พัก จนดึกๆ ทุกวัน ตามเว็บพันทิพย์บ้าง เว็บ Review อื่นๆ บ้าง นั่งหาอยู่สองอาทิตย์
จริงๆ บางวันเหนื่อยๆ หลังเลิกงานก็ไม่อยากหาข้อมูลต่อหรอก แต่เผอิญว่า...กุทำกุญแจบ้านหาย เลยต้องรอคนในบ้านกลับมาก่อน ซวยสาด
ทุกทีกุจะชอบกลับบ้านเร็วๆ ไปทำอาหารกินเอง ไม่ก็นอนจิบเบียร์ ฟังเพลง ไม่ก็ไปปาร์ตี้กะเด็กไทย ทำอาหาร เล่นเกมกัน เล่นไพ่ นั่งคุยกัน เพลินดี ชีวิตสุขีหงะ พวกที่ไปเจอกันที่นู่น ตอนนี้ก็ยังคุยกันอยู่ แต่ช่วงนั้นกลับเร็วไม่ได้ เพราะไม่มีกุญแจ
ตอนหลังพบว่าในตู้เก็บของแม่งมีกุญแจสำรองเกือบสิบอัน ตอนกุทำความสะอาดวันสุดท้ายก่อนออกจากบ้าน สาดด
เสร็จตัดสินใจเลือกโรงแรมไป เสียค่าจองไป 10% ของค่าเข้าพัก
นั่งกับไอไข่สองคน ขึ้นเครื่องจากเมกา สู่นาริตะ เสร็จแม่งก็เซย์กู๊ดบายกุ ดูหวิวๆ ชอบกล ที่กุต้องอยู่ญี่ปุ่นคนเดียวอาทิตย์นึง
ถึงแม้ว่าจะไปเที่ยวคนเดียว แต่ก็มีเรื่องประทับใจมากมาย
เริ่มจากสายการบิน ไม่ใช่เพราะแอร์น่ารัก แต่ประทับใจในการบริการ
พอดีกุลืมแจ้งสะสมไมล์ข้างล่างที่เค๊าเตอร์ แต่ขึ้นมาบนเครื่องแล้ว เลยถามแอร์ว่าทำไงดี
แอร์มันก็บอกเด๋วกลับมาคุยนะคะ มันก็ไปเสิร์ฟอาหาร ไรของมันอะ กุกินเสร็จ หลับ...
แล้วคนญี่ปุ่นที่นั่งข้างๆ แม่งจี้อย่างเว้ย แม่งปวดฉี่มาก แต่มันไม่กล้ารบกวนกุอะ คือเห็นกุหลับอยู่
กุตื่นอีกทีตอนกินอีกมื้อ (ห่างกันหลายชม.) ตอนแอร์เดินมาเสิร์ฟอาหารอีกรอบ กุเห็นผู้หญิงข้างๆ มันไม่กิน แถมดูรีบร้อนชอบกล
เลยหันหน้าไปมอง ทำหน้าแบบเห้ย แม่งต้องไรเป็นสักอย่าง คืออายุก็ประมาณ 25 26 อะ
กุถามว่าคุณต้องการเข้าห้องน้ำมั้ย... ดูท่าแกดีใจมากที่ถามเค้าแบบนั้น เลยรีบเดินไปห้องน้ำ
เค้ากลับมานั่งเสร็จ... กุบอกเค้าไปว่า นี่คุณ... คราวหน้าไม่ต้องเกรงใจนะครับ ถ้าต้องการเข้าห้องน้ำปลุกผมก็ได้
เค้าก็พยักหน้า เซย์ thank you ๆๆๆ สำเนียงญี่ปุ่น
จริงๆ แล้วกุนอนไม่ค่อยหลับหรอกบนเครื่อง แล้วกุค่อนข้างเห็นใจเค้านะ กุเคยเจอแบบนี้เหมือนกัน
ตอนขาไปเมกา กุบ้าจี้ไปกินเป๊ปซี่ เสร็จต่อด้วยเบียร์อีกสองป๋อง กะหลับยาวไปถึงนู่น ที่ไหนได้ ได้เรื่องเลย จะอ๊วก เวลานั่งเครื่องนั่งเบาะในแม่งออกลำบาก กุออกทีเลยไปยืนแช่ในห้องน้ำนานๆ แม่งเจือกไม่อ๊วก แต่มวนท้องชิบ
แล้วคนญี่ปุ่นน่ารักอีกอย่างเว้ย พวกที่แม่งเป็นหวัด มันจะใส่หน้ากากตลอด ทุกคน คือมันค่อนข้างแคร์คนรอบข้างมาก
ก่อนจะถึงนาริตะประมาณครึ่งชม. แอร์ก็มานั่งคู้ๆ ข้างๆ เอาสมุด เบอร์ติดต่อเกี่ยวกับเรื่องสะสมไมล์มาให้ครบถ้วน
แถมอธิบายละเอียดเชียว จริงๆ กุนึกว่ามันลืมไปละ น่าประทับใจดี
กุไปถึงญี่ปุ่นปุ๊บ พบว่ากุจองวันผิด ลืมคิดเรื่องคาบเกี่ยวของเวลา จองห้องพักเร็วไปวันนึง คิดว่าไม่เป็นไรมั้ง...
ไปแลกเงินเสร็จ โอ๊ว ได้มาราวๆ เจ็ด-แปดหมื่นเยน (ราวๆ 20,000 กว่าบาท) แล้วเอาเบอร์โทรโรงแรมมากดตามตู้สาธารณะในสนามบินนั่นแหละ
กดไปกดมา เห้ย... แม่งกดไงวะ ห่า... จิ้มนานเข้าๆ ต่อไม่ติดซะที จนกุเริ่มอายคนที่จะมาใช้ต่อ
ทำไงดีวะเนี่ย มาถึงก็ดึก ห้องพักก็ติดต่อไม่ได้.... กุเลยไปคุยกับพวกที่มันให้เช่าลีมูซีน กะรถทัวร์เข้าเมืองอธิบายไป
บอกผมติดต่อโรงแรมไม่ได้ แล้วผมก็มาช้าไปวันนึง เค้าเลยโทรให้ แล้วให้กุคุย ไอ Reception แม่งบอกคุณมาสายไปหนึ่งวันนะ
ถ้ายังต้องการจะเข้าพักอยู่ คุณต้องจ่ายค่าห้องพักของเมื่อวานด้วย T_T $60-$70 ได้มั้ง เสียดายหงะ
ด้วยความที่มีกระเป๋าใบโตๆ อยู่สองใบ แถมเป้สะพายอีกใบ กุก็ไม่รู้จะไปเดินหาโรงแรมยังไง เลยยอมจ่ายไป
นั่งรถทัวร์สามชั่วโมง ไปชินจูกุ เสร็จนั่ง Taxi ไปโรงแรม
Shinjuku ยามค่ำคืน
พบว่า TAXI ของญี่ปุ่น มี GPRS ทุกเครื่อง แถมมีใบเสร็จให้ทุกครั้ง แล้วเศษที่เหลือนิดๆหน่อยๆ ไม่กี่ร้อย กี่สิบเยน คนขับก็จะทอนทุกครั้ง (หรือคันเฉพาะคันที่ตูนั่งฟะ)
ถึงโรงแรมดึกๆ เจอ Reception ที่คุยด้วยเมื่อช่วงก่อนหน้านั้น เอากุญแจ กะบัตรเข้าห้องมา นั่งอ่าน rules ของโรงแรม
เอี้ย ทำกุญแจหายเจอปรับ 50,000 เยน ( ประมาณ 15,000 บาท ) เวลาไปไหนกุเลยไม่พกกุญแจไปด้วย ฝากไว้ที่ counter ทุกครั้ง (กุญแจแม่งก็ทรงประหล๊าด ประหลาด)
ลงมา Survey รอบๆ แถวที่พัก เจอร้านขายบะหมี่แบบชาวบ้านๆ ด้วยความที่เห็นใน Series มามากมาย เลยเดินเข้าไป
พอมีคนเดินเข้าไปปุ๊ป พนักงานทั้งร้าน เข้าใจว่าเป็นครอบครัวเดียวกัน จะหันมาพูด 'อิรัสไชมะเซะ' กันทุกคน ไม่ว่าจะทำอะไรอยู่ก็ตาม
เมนูมันเป็นภาษาญี่ปุ่นหมด กุไม่รู้เลือกไรดี หิวๆ ด้วย เลยชี้ไปอันที่แพงสุด พันเยนนิดๆ ( คิดเป็นเงินไทยราวๆ 300 บาทได้ แพงนะนั่น )
แต่ค่าครองชีพที่นั่นมันก็ราวๆ นี้แหละ
ถามกุเอาเส้น อุด้ง กับไรอีกอันไม่รู้ กุเลยเอาอุด้ง เสิร์ฟมาชามบะเร่อ พร้อมกับน้ำเปล่าเย็นๆแก้วหนึ่ง มาเติมให้เรื่อยๆ
บางเครื่องปรุงแปลกๆ ก็ลองเหยาะๆ ชิมๆ ปรุงเน้นเผ็ดเป็นหลัก ตามแบบที่ตัวเองชอบ 555+
อร่อยดีเหมือนกัน กินหมดชาม น้ำซุปก็ซดจนหมด แกมาถามว่าอร่อยมั้ย กุตอบ โออิชิๆ พร้อมทั้งชูนิ้วโป้งให้ แกยิ้มแฉ่ง
พอลุกออกจากร้าน พนักงานในร้านก็พูดพร้อมๆ กันอีก แต่พูดว่าไรไม่รู้ ดูน่ารักดีอะ ให้ Service mind เต็มร้อย
เดินเข้าคล้ายๆ เซเว่นบ้านเราหยิบลูกอมมาถุง น้ำขวด ขนมอีกถุง หลายร้อยเยนเหมือนกัน
ขึ้นไปนั่งกินบนห้อง เห็นมีตู้ขายน้ำ กดเบียร์โลด อาซาฮีขนาดใหญ่สองป๋อง เหลือบไปเห็นไอตู้ข้างๆ
เป็นตู้ขายกับแกล้ม ! Amazing มาก สาด แม่งมีปลาหมึก อะไรแปลกๆ อีกหลายๆ อย่าง ไม่กล้ากดมาลอง
นั่งจิบเบียร์ ไม่หร่อยเลย สู้พวก Blue Moon , Coor Light , Amstel , หรือเบียร์บ้านๆ เราไม่ได้
กินไปป๋องนึงอีกป๋องแช่ในตู้ ลงไปเดินเล่นข้างล่างต่อ ระหว่างเดินไปลิฟท์เจอเครื่องอันนึง
ให้หยอดแบงค์พันเยน จะได้รีโมท... เอาไว้ดูหนังโป๊ เพิ่งมารู้เมื่อพักหลังจากนั้นหลายๆ วัน
แล้วในห้องมันจะมีหนังสือหนังโป๊อธิบายการใช้ไอรีโมทนั่นแหละ ไอ่รีโมทเนี่ยแม่งดูได้สองร้อยกว่าช่องมั้ง 55555555
ลงไปเดินเล่นข้างล่างยัง Survey ไม่ครบ เดินๆ ไปเจอร้านประมาณว่านั่งดริ๊ง
มีผู้หญิงแต่งชุดราตรีนั่งอยู่หน้าร้านประมาณสามสี่คน แต่ละคนหน้าตาจิ้มลิ้มทั้งนั้น แต่ไม่ได้คิดจะเข้าไป
หน้าร้านมีราคาเป็นชั่วโมงๆ แปะไว้ อ่านไม่ออก ดูแต่ตัวเลข หลายพัน - หลายหมื่นเยนอยู่ แต่ไม่ได้สนใจไรมาก
สำรวจแถบๆ นั้นจนครบ เจอสถานที่สำคัญๆ ครบหมดละ พวก Subway , ร้านขายของ , อาหาร , เดินไปดูห้างมัน
ดูเสร็จก็กลับขึ้นมาอาบน้ำ เอาชุดยูกาตะมาใส่ นอนแช่อ่างอาบน้ำ จิบเบียร์อีกป๋องที่เหลือ หลับยันเช้า
... ไว้ค่อยต่อตอน 2
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น