วันจันทร์ที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2553

เลือกคู่อย่างไรจึงจะมีความสุขมากที่สุด

บทความนี้เขียนไว้นานละ แต่อยากเอามาแปะใน blog อีกที

เวลาเพื่อนๆ เก่าๆ นานๆ มาเจอกันสักที ก็ชอบคำถามเด็ด ที่ถามกุคิดว่าส่วนใหญ่ก็เพราะ

1. อยากรู้เรื่องคนอื่น
2. ไม่มีอะไรจะคุย ... มันเลยยกคำถามทั่วๆไปสัพเพเหระมาถาม เช่น ช่วงนี้ทำอะไร เป็นยังไง มีแฟนยัง ฯลฯ
ถ้าคิดในแง่ดีก็อาจจะถามไปตามมารยาท

โดยส่วนตัวคิดว่าการที่เมิงมีความสุขอยู่แล้ว แล้วรับคนอีกคนหนึ่งเข้ามาเป็นเรื่องที่มีความเสี่ยง โดยเฉพาะอีกคนที่กำลังกระหายความรัก หรือ เหงาบ้าง อยากมีเพื่อนคุยบ้าง อะไรทำนองนั้น มันเลยเป็นเรื่องที่มีความเสี่ยง เพราะเค้าก็หวังที่จะพึ่งหรือได้รับความสุขจากอีกฝ่าย

ทีนี้การที่จะเสี่ยงทั้งที ก็ต้องมาดูว่าเสี่ยงยังไงให้น้อยที่สุด คือ เลือกยังไงนั่นเอง ว่าคนที่เข้ามา ไม่ว่าชั่วคราว หรือ นานๆ จนเป็นครอบครัวก็ตามที มันก็เป็นเรื่องที่มีความเสี่ยงทั้งนั้น

ที่กล่าวเช่นนี้เพราะอะไร เช่น เมิงมีแฟนคบกันมาเดือนสองเดือนแล้วเลิกกัน บางทีเมิงปวดร้าวใจไปเป็นปี ยิ่งการเลือกคู่ที่จะมาเป็นคู่ชีวิต มันก็ต้องดูกันนานๆ เพราะเค้าจะอยู่กับเราไปในระยะเวลาพอสมควร เช่น 10 ปี 20 ปี ก็แล้วแต่บุญพาวาสนาส่ง และการกระทำที่สร้างความรู้สึกดีๆ ระหว่างคนสองคน

การเลือกคู่แบบใดจึงจะขัดแย้งน้อยที่สุด ?

จริงๆ แล้วถ้าการที่คนสองคนจะมาคู่กัน มันต้องมีอะไรคล้ายๆ กัน ชอบอะไรเหมือนๆ กัน กุไม่ได้อุปมาว่าชอบอะไรเหมือนกันซะทุกๆ อย่าง บางคนชอบบอกว่า กุชอบความแตกต่าง มาเติมเต็มสิ่งที่กุขาด ฟังละตลก เพราะ คนเรามันแตกต่างกันโดยธรรมชาติอยู่แล้ว

ทีนี้ถ้าเมิงแตกต่าง มาดูข้อหลักทั่วๆ ไป ใหญ่ๆ 4 ข้อ

1. ข้อปฎิบัติ

ข้อปฎิบัติ ก็คือ ธรรมเนียมทั่วๆ ไป การรู้จักกาละเทศะอะไรควรทำก่อนทำหลัง ควรให้เกียรติอีกฝ่ายอย่างไร อีกคนรู้จักวางตัวอย่างไร ทีนี้มาพูดเรื่องศีล คือกุจะกล่าวโดยย่อๆ จริงๆ แล้วศีลก็คือข้อปฎิบัติ แต่ทีนี้พูดศีลไป พวกเมิงก็จะร้อง ยี้ กัน อ่านต่อไปละก็จะพอเข้าใจ ถ้าคิดอย่างเป็นกลาง

ฝ่ายหนึ่งรักสัตว์ อีกฝ่ายชอบรังแกสัตว์
ฝ่ายหนึ่งชอบขโมยของ อีกฝ่ายไม่
ฝ่ายหนึ่งรักเดียวใจเดียว อีกฝ่าย รักคนเดียวชอบหลายคน เลยอาจจะคบไว้เผื่อเลือก หรือมองคนอื่นเวลาอยู่ด้วยกันเพื่อให้คู่หึงหวง
ฝ่ายหนึ่งโกหกเป็นอาจิณ อีกฝ่าย พูดแต่คำจริง
ฝ่ายหนึ่งแดรกสุราเป็นนิตย์ อีกฝ่ายไม่ชอบของมึนเมา

ไอความแตกต่างเหล่านี้มันจะส่งผลทั้งเรื่องทั้ง กาย วาจา ใจ ซึ่งจำแนกย่อยๆ ก็จะออกเป็น การใช้ชีวิตในสังคม สังคมเพื่อนฝูง การพูดจา ทัศนคติ การวางตัว การให้เกียรติ การรู้จักว่าอะไรควรอะไรไม่ควร

ซึ่งโดยส่วนมากยิ่งแตกต่างแม่งก็จะยิ่งทะเลาะกัน ให้ลองอุปมาแบบสุดโต่งเลยนะ
ว่าการที่คนสองคนชอบอะไรเหมือนกันทุกอย่างเลย
ส่วนอีกคู่ แตกต่างกันไปทุกเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นความคิด การกระทำอะไรก็แล้วแต่
คิดดูว่าคู่ไหนมันน่าจะไปได้นานกว่ากัน ??

2. ศรัทธา

คือมีศรัทธาไปในทางเดียวกัน เช่น ฝ่ายหนึ่งเชื่อเรื่องกฎแห่งกรรม อีกฝ่ายไม่เห็นว่าจะเป็นความจริงแต่อย่างใด
ศรัทธาไม่ตรงกันก็คุยเรื่องไม่ตรงกัน เมื่อคุยเรื่องไม่ตรงกันก็คุยกันได้ไม่นาน เมื่อคุยกันได้ไม่นานก็เบื่อกันเร็ว

3. ปัญญา

คือคุยกันเรื่องทั่วๆ ไป รู้เรื่อง ตามกันทันในเรื่องทั่วๆไป ถ้าปัญญาของคู่มันแตกต่างกันมากๆ มันจะเกิดอาการที่เรียกว่า look down คือการดูถูก ต่ออีกฝ่ายไม่ชั่ววูบใดก็ชั่ววูบหนึ่ง

ฝ่ายหนึ่งคิดก่อนทำ อีกฝ่่ายทำก่อนคิด อีกฝ่ายใช้สติไต่ตรองก่อนค่อยพูด อีกฝ่ายนำอารมณ์มาพูด

ปัญญานี้ดูกันไม่ยาก โทรคุยกัน ไปเดทกัน เวลาคุย / เดท / มันก็จะมีประเด็นเรื่องอื่นๆ มาให้คุย
เวลาคุยคนส่วนใหญ่ก็ชอบจะแสดงทัศนคติตามที่แม่งรับรู้มาใส่ลงไปในเรื่องที่พูดคุยด้วย
จริงๆ กุว่าดูไม่ยากหรอก ถ้าปัญญามันทันกันคุยอะไรไปมันก็แฮปปี้ได้ทุกเรื่องอะ

4. เสียสละ

ดูง่ายๆ เช่นในเรื่องเหตุการณ์อันใกล้นี้ อีกฝ่ายหนึ่งอยากมีความคิดที่จะช่วยทำความสะอาดบ้านเมือง อีกฝ่ายเห็นเป็นเรื่องตลก บอกปล่อยให้เป็นหน้าที่ของๆ พนักงานทำความสะอาดเค้าไป

หรือพูดอีกนัยหนึ่งคืออีกฝ่ายชอบทำบุญ ทำทาน ช่วยเหลือผู้อื่น อีกฝ่ายเห็นเป็นเรื่องไร้สาระ แถมยังคอยขัดคอยแย้ง

การดูสี่ข้อนี้จริงๆ มันเป็นเรื่องที่ต้องใช้ระยะเวลาหน่อย แต่ก็ไม่นานนัก


โดยส่วนตัวถ้ากุมองสี่ข้อนี้แล้วมันผิดแผกแตกต่างกันมากๆ ถึงแม้ว่าจะสวยระดับห้าดาวขั้นเทพ ก็ขอเซย์กู๊ดบายดีก่า
แต่กุคิดว่าถ้ามีสัญญากรรมต่อกันจริงๆ ยังไงก็ต้องมาเจอกันอยู่ดี...
( ปล. สัญญากรรมนี้หมาย ทั้งกรรมดี และ กรรมชั่ว ที่เคยทำร่วมกันมา )
เคยมั้ย ที่เห็นปุ๊ปแล้วเธอก็ไม่ได้สวยอะไรมากมาย แต่โคตรรู้สึกผูกพัน เหมือนเคยรู้จักกันมาก่อน
เอาไว้ค่อยเขียนแยกเป็นอีก note อะไรทำนองเกี่ยวกับทำนองนี้ละกัน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น